สกว.เผยงานวิจัยเด่นปี 59 ชุมชนต้นแบบตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้หลัก“เศรษฐกิจพอเพียง” บ้านผาสุข ต.ภูฟ้า จ.น่าน
สกว.เผยผลงานวิจัยเด่นปี 2559
ชุมชนต้นแบบตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้หลัก“เศรษฐกิจพอเพียง” บ้านผาสุข
ต.ภูฟ้า อ.บ่อเกลือ จ.น่าน ชุมชนต้นแบบของการจัดการน้ำบนที่สูง
แก้ปัญหาความขัดแย้งจัดการทรัพยากร ด้วยงานวิจัย
เมื่อเร็วๆนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
(สกว.) ได้นำเสนองานวิจัยชุมชนต้นแบบในการจัดการพื้นที่โดยชุมชนที่ ‘บ้านผาสุข’
ชุมชนเล็กๆ ที่มีประชากรอาศัยอยู่กว่า 130 ครัวเรือน
ตั้งอยู่ตำบลภูฟ้า อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน
ที่มีสถานที่สำคัญที่เป็นที่ตั้งของโครงการพระราชดำริศูนย์ภูฟ้า
ด้วยสภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน
ผู้คนในหมู่บ้านผาสุขจึงยังคงพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติเป็นพื้นที่อยู่อาศัย
พื้นที่ทำกิน และเป็นแหล่งอาหาร โดยเฉพาะแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีลำห้วยน้อยใหญ่กว่า
20 ลำห้วยอยู่ในพื้นที่ของหมู่บ้านรวมถึงลำน้ำว้าและลำน้ำมาง
ไหลผ่านหมู่บ้านที่ถือว่ามีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของคนในชุมชน
โดยเฉพาะการใช้น้ำจากแหล่งน้ำในผืนป่าธรรมชาติที่ยังคงอุดมสมบูรณ์และยังเป็นป่าต้นน้ำที่สำคัญ
กระทั่งปี 2545 ชุมชนเริ่มประสบปัญหาน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของชาวบ้านโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง
จนเกิดการแย่งชิงน้ำเพื่อใช้อุปโภคบริโภค
เพราะชุมชนไม่เห็นข้อมูลที่แท้จริงของปัญหาในเรื่องของการจัดการน้ำในชุมชน
โดยนายเอกพล ศิริทรัพย์อุดม ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน
ม.3 บ้านผาสุขเปิดเผยว่า
ที่นี่แต่เดิมคนในชุมชนเกิดความไม่เข้าใจเรื่องการใช้น้ำของแต่ละครัวเรือนที่ไม่เท่ากัน
บางครัวเรือนใช้มาก บางครัวเรือนใช้น้อย ทำให้เกิดการแย่งชิงน้ำใช้ เพราะความเข้าใจผิด
แม้จะอธิบายอย่างไรก็ไม่เข้าใจกลายเป็นปัญหาถกเถียงกันของคนในชุมชน
ประกอบกับชาวบ้านซึ่งในอดีตรู้จักแต่การทำไร่เลื่อนลอย
เมื่อเปลี่ยนมาทำนาก็ต้องดึงน้ำไปใช้ทำนามากขึ้น
รวมทั้งมีการปล่อยน้ำทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะตอนนั้นไม่รู้จักคุณค่าของน้ำ
ทำให้จากที่เคยมีน้ำเพียงพอ ก็เริ่มไม่เพียงพอ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ม.3 บ้านผาสุข
ในฐานะนักวิจัยชุมชน เล่าให้ฟังถึงสถานการณ์น้ำของชุมชนในอดีตที่ก่อให้เกิดปัญหาการแย่งชิง
“น้ำ” ขึ้นในชุมชน
เป็นที่มาของการใช้งานวิจัยเพื่อท้องถิ่นเข้าไปเป็นเครื่องมือในการสืบค้นปัญหาโดยผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนภายใต้ให้เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรของชุมชน
บ้านผาสุข โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
ล่าสุดงานวิจัยจากโครงการฯนี้ยังได้รับรางวัล ผลงานวิจัยเด่น สกว.ประจำปี 2559
ด้านนายสถาพร ใจปิง
หนึ่งในทีมนักวิจัยชุมชนบ้านผาสุข กล่าวเสริมว่า
งานวิจัยนี้ทำให้เกิดระบบการบริหารจัดการน้ำที่เข้าไปมีส่วนช่วยลดความขัดแย้งของคนในชุมชน
ด้วยวิธีการสันติวิธีโดยอาศัยกระบวนการวิจัยเพื่อท้องถิ่นเป็นเครื่องมือในการสืบค้นหาสาเหตุและสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการหาทางออก
ตลอดจนสร้างจิตสำนึกให้คนในชุมชนรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ
รวมถึงร่วมกันพัฒนาชุมชนและพื้นที่ในการสร้างคุณภาพทรัพยากร
และคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ภายใต้หลัก“เศรษฐกิจพอเพียง” ที่สำคัญผลงานวิจัยนี้
เป็นการดำเนินงานโดยชาวบ้านซึ่งเป็นคนในชุมชนที่ประสบปัญหาโดยตรง ที่สำคัญที่สุด
คือ
สามารถลดปัญหาความขัดแย้งการใช้น้ำทั้งในปัจจุบันและอนาคตซึ่งเป็นปัญหาที่สั่งสมมานานได้
การทำวิจัยในโครงการนี้ได้เปลี่ยนวิธีคิดของคนไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของชุมชนบ้านผาสุขให้ฟื้นฟูรักษาป่าต้นน้ำและให้คนอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืน
ซึ่งจากข้อมูลที่ชุมชนค้นพบได้สร้างด้วยการใช้หลักธรรมาภิบาลในการจัดสรรน้ำ
และการเข้าใช้ประโยชน์จากดิน น้ำ ป่า
และปลูกป่าเสริมตามคามเชื่อและการใช้ประโยชน์จากป่าร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยแบ่งการใช้ประโยชน์ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ป่าต้นน้ำ ป่าอนุรักษ์ และป่าใช้สอย
โดยป่าชุมชนและพื้นที่ทำกินนั้น
ได้ผ่านการจัดทำโฉนดชุมชนซึ่งชาวบ้านนักวิจัยได้ร่วมกันนำเสนอต่อผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ
และได้รับงบประมาณสนับสนุนในการดำเนินการจากชลประทานจำนวน 27 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังได้รับงบประมาณจากโครงการประชารัฐอีก 250,000
บาทเพื่อสร้างระบบท่อส่งน้ำ ระยะทาง 12,000 เมตร เพื่อแก้ไขปัญหาการแย่งน้ำเพื่อการเกษตรบริเวณลำน้ำมางกับห้วยป่าแอ้ว
ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาน้ำเพื่อการเกษตรได้ 23 ไร่ และ
ที่เป็นข้อเท็จจริงมาเป็นเครื่องมือสร้างความเข้าใจนำไปสู่การพูดคุยและหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างสันติ
ลดปัญหาความขัดแย้งในการบริหารจัดการน้ำ
ทีมวิจัยชุมชนย้ำว่า
ข้อดีของการทำงานวิจัยที่สำคัญ คือ ทำให้คนในชุมชนหันมารักและสามัคคีกัน
ชุมชนได้เรียนรู้ว่าการรู้จักแบ่งปันจะไม่ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทหรือแย่งชิงน้ำเกิดขึ้น
และยังเรียนรู้ว่าการอยู่ร่วมกันถ้าไม่ช่วยกันคิด ไม่ช่วยกันทำ
ปัญหาทุกอย่างก็จะไม่มีทางออก
จึงมองว่าทุกชุมชนควรนำงานวิจัยมาใช้เพราะถือเป็นสิ่งสำคัญและมีประโยชน์มากดังเช่นที่ชุมชนบ้านผาสุขได้รับ
ทำให้เราได้ข้อมูลที่สามารถสะท้อนหรือนำเสนอต่อหน่วยงานภาครัฐเพื่อใช้พิจารณาได้ทันทีโดยเฉพาะเรื่องระบบน้ำหรือชลประทาน
จึงอยากเห็นชุมชนอื่นๆ ทำงานวิจัยเช่นกัน อย่าคิดว่าเป็นปัญหาหนัก ทำไม่ได้
เพราะเมื่อลงมือทำ สุดท้ายก็จะทำได้ และไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น