สุดยอดงานวิจัยแก้หมอกควัน สวทช.หนุน เกษตรฯ มช.นำนวัตกรรมเอาเปลือกข้าวโพดทำอาหารสัตว์คุณภาพลดต้นทุนลดปัญหา สวล.
สวทช.ภาคเหนือ
ร่วมกับ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมผลิตอาหารสัตว์จากเปลือกข้าวโพด
หวังนำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ช่วยแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
กระตุ้นให้เกษตรกรนำเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรมาเป็นอาหารสัตว์ ลดทั้งต้นทุนและลดภาวะหมอกควันมลพิษทางอากาศด้วย
เมื่อวันที่ 18
มีนาคม
2561 ที่บริเวณโรงเรือนโคเนื้อ CMU BEEF สถานีวิจัยและฝึกอบรมการเกษตรแม่เหียะ
จังหวัดเชียงใหม่ ผศ.ดร.ดรุณี นาพรหม
รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วยนางปิยะฉัตร
ใคร้วานิช เบอร์ทัน ผู้อำนวยการ สวทช.ภาคเหนือ เปิดกิจกรรมจิตอาสา “ร่วมใจลดหมอกควันร่วมกันผลิตอาหารสัตว์จากเปลือกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
: อาหารสัตว์รักษ์โลก” ซึ่งภาควิชาสัตว์ศาสตร์และสัตว์น้ำ
คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)ภาคเหนือ
จัดขึ้นเพื่อเป็นต้นแบบในการจัดการเศษวัสดุทางการเกษตร
โดยใช้เปลือกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ นำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์รักษ์โลก
เพื่อลดการเผาและแก้ปัญหาหมอกควันที่ต้นเหตุสำคัญเวลานี้ โดยทาง ผศ.ดร.วรรณพร
ทะพิงค์แก กล่าวรายงานถึงโครงการดังกล่าวที่เป็นส่วนหนึ่งในงานวิจัยที่ต่อยอดสู่การนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมีนักศึกษาและประชาชน ร่วมเป็นจิตอาสาเข้ารับการอบรม
ฝึกปฏิบัติเพื่อนำไปเผยแพร่องค์ความรู้ในการผลิตอาหารสัตว์ต้นทุนต่ำให้กับเกษตรกรที่สนใจต่อไป
ในส่วนของภาควิชาสัตว์ศาสตร์และสัตว์น้ำ
จะดำเนินการผลิตอาหารสัตว์จากเศษวัสดุอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเป็นศูนย์เรียนรู้ศึกษาดูงานให้กับผู้ที่สนใจ
ตลอดจนจะวิเคราะห์ติดตามทดสอบคุณภาพของอาหารสัตว์เพื่อให้มีคุณภาพดีสม่ำเสมอต่อไป
โดยมีนักศึกษา
ประชาชนจิตอาสา กว่า 30 คน
เข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการนำองค์ความรู้เหล่านี้ขยายผลให้แก่ผู้อื่นนำไปใช้ประโยชน์แก้ไขปัญหาในชุมชนของตนเอง
ที่ผ่านมา
สวทช.ได้มีการเน้นการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อแนะนำให้กลุ่มเกษตรกรมีความรู้ในการผลิตอาหารสัตว์จากเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร
โดยเฉพาะเปลือกข้าวโพด มาทำเป็นอาหารหยาบสำหรับสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น โค กระบือ
แพะ แกะ เป็นต้น ทั้งนี้ ภาควิชาสัตวศาสตร์และสัตว์น้ำ คณะเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ได้ทำกิจกรรมผลิตอาหารสัตว์จากเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรอย่างต่อเนื่อง
โดยนำอาหารสัตว์ที่ผลิตได้มาเลี้ยงสัตว์ในฟาร์มทดลองของภาควิชาเอง
ตลอดจนวิเคราะห์ทดสอบคุณภาพของอาหารสัตว์ให้มีคุณภาพดีสม่ำเสมอ นอกจากนี้
ยังเปิดเป็นศูนย์เรียนรู้ศึกษาและดูงานให้แก่ผู้ที่สนใจ
ตลอดจนรับผลิตอาหารสัตว์ให้แก่เกษตรกรเพื่อตอบสนองความต้องการของเกษตรกรอีกด้วย
ผู้อำนวยการ สวทช.ภาคเหนือกล่าวว่า โครงการดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งที่ สวทช.คาดหวังว่าจะมีการต่อยอดและนำไปขยายผลถึงเกษตรกรหรือผู้ประกอบการ
ซึ่งต่อไปจะทำให้เศษเปลือกข้าวโพดในไร่มีมูลค่าขึ้นมาแทนการเผาทิ้ง เพราะปีหนึ่งๆมีปริมาณมากหลายหมื่นตันต่อไปนี้ก็จะเป็นมูลค่า นอกจากนี้โครงการนี้ยังเป็นต้นแบบระยะแรกที่จะสามารถต่อยอดไปสู่การดำเนินการอื่นๆ
ในทำนองเดียวกันนี้ที่
สวทช.มุ่งมั่นเรื่องการสนับสนุนด้านการใช้นวัตกรรมและวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมาสร้างประโยชน์ในชีวิตได้จริง
และยังแก้ไขปัญหาในภาพรวมด้านสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาหมอกควัน
ไฟป่าเวลานี้เป็นอุปสรรคสำคัญและทำให้มีผลกระทบกับเชียงใหม่และภาคเหนือหรือภูมิภาคนี้อย่างมาก
โดยกิจกรรมครั้งนี้ทาง
ดร.มนตรี ปัญญาทอง อาจารย์ภาควิชาสัตว์ศาสตร์และสัตว์น้ำ คณะเกษตรศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการสาธิตพร้อมเผยถึงเทคโนโลยีและขั้นตอนการผลิตอาหารสัตว์จากเปลือกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ว่า
จุดเริ่มต้นของงานวิจัยดังกล่าวมาจากความต้องการลดปัญหาหมอกควัน
ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2557 ที่ขณะนั้นมีปัญหาเรื่องหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนที่ปัญหาหลักๆ
มาจากการเผาวัสดุเศษเหลือทางการเกษตร โดยเฉพาะ
เปลือกข้าวโพดที่มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในพื้นที่ภาคเหนือ
ขณะเดียวกันปริมาณของเปลือกข้าวโพดแต่ละปีจึงมีอยู่หลายหมื่นตัน
หลายภาคส่วนก็พยายามแก้ไขและหาทางออก โดยได้มีการนำไปทำเป็นปุ๋ย พืชชีวะมวล
แต่ก็ยังพบว่ามีปริมาณที่เหลืออยู่จำนวนมาก สุดท้ายทางเกษตรกรก็ต้องนำมาเผาทิ้ง
ดังนั้นจึงมีการหาเทคโนโลยี หรือวิธีการที่จะช่วยลดปัญหาที่เกิดขึ้นนี้
โดยนำเปลือกข้าวโพดเหล่านี้มาทำเป็นอาหารสำหรับสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์เคี้ยวเอื้อง
เช่น วัว ควาย แพะ แกะ โดยมีการใช้ในลักษณะที่เป็นเปลือกแห้ง และนำมาปรับสภาพเป็นอาหารหมัก
เพื่อเพิ่มคุณค่า ซึ่งเป็นอีกทางเลือกในการใช้เปลือกข้าวโพดให้เป็นประโยชน์แทนการเผา
ซึ่งก็ทำให้ลดต้นทุนและได้อาหารสัตว์ที่มีคุณภาพด้วย
สำหรับกระบวนการผลิตจะมีการนำเปลือกข้าวโพดแห้งที่ต้องการจะหมัก
กากน้ำตาล รำข้าว และหัวเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดกระบวนการหมัก โดยสัดส่วนน้ำหนักเปลือกข้าวโพด
100 กก. จะใช้หัวเชื้อจุลินทรีย์อยู่ที่ 100 กรัม
กากน้ำตาล 1 กก. และรำละเอียด 1 กก. และมีต้นทุนไม่เกิด 20 สตางค์/กก.
ในการเพิ่มจากราคาของเปลือกข้าวโพดปกติซึ่งราคาอยู่ที่ประมาณ 1-2 บาท จากปกติเปลือกข้าวโพดแห้งจะมีโปรตีนอยู่ประมาณ
1-2 % แต่หากผ่านกระบวนการหมักแล้วจะมีโปรตีนเพิ่มขึ้นเป็น 4-5 % ซึ่งกระบวนการนี้จะช่วยเพิ่มในเรื่องของคุณค่าทางโภชนาการและความน่ากินให้สัตว์มากขึ้นด้วย ที่สำคัญเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะลดปริมาณการเผาทิ้งและลดปัญหามลพิษทางอากาสที่เป็นอยู่ด้วย.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น