ถกครึ่งวัน มภ.3ให้ตั้ง กก.สำรวจเขตเหมาะสมสรุปแนวรื้อถอน เยียวยาและฟื้นฟูป่าเสนอ คสช.ภายใน 19 เม.ย.นี้

ถกครึ่งวันกรณีโครงการบ้านพักศาล มภ.ยันจะนำข้อเสนอของภาคประชาชนทั้งหมดส่งถึงมือ ผบ.ทบ.เพื่อส่งต่อ หน.คสช.พิจารณา มอบผู้ว่าฯตั้ง กก.ลงพื้นที่กำหนดแนวเขตเหมาะสมเพื่อกำหนดทางออกร่วมกันภายใน 19 เม.ย.นี้ เชื่อว่าจะมีทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่าย
เชียงใหม่ 9 เม.ย.-พลโทวิจักข์ฐ์ สิริบรรสพ แม่ทัพภาคที่ กล่าวสรุปผลการจัดเวทีสาธารณะเพื่อระดมความคิดเห็นต่อกรณีโครงการบ้านพักข้าราชการ ตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค ที่เครือข่ายภาคประชาชนขอให้คืนพื้นที่ป่า ว่า ขอบคุณทุกฝ่ายที่มาร่วมกันให้ข้อมูล ข้อสรุปที่ได้วันนี้เป็นข้อเท็จจริงและข้อมูลวิชาการไม่ได้พาดพิงกล่าวร้ายผู้ใด ผลการประชุมวันนี้จะนำเสนอ ผบ.ทบ. ภายในวันพรุ่งนี้เป็นอย่างช้า ในฐานะเลขาธิการ คสช. เพื่อนำเรียนหัวหน้า คสช. พิจารณา ความต้องการของกลุ่มมวลชน ประชาชนชาวเชียงใหม่ ภาคประชาสังคม และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในเวทีที่เปิดเผยและแสดงความเห็นอย่างเสรีในการประกาศจุดยืน เพราะในช่วงบ่ายนี้ในส่วนของศาลยุติธรรมก็จะมีผลการประชุมออกมาด้วย ทั้งนี้ข้อสรุปตามที่ภาคประชาชนเสนอคือ 1. ต้องการให้รื้ออาคารศาลบางส่วน แต่จะรื้อขนาดไหน จะจัดผู้เกี่ยวข้องไปดูแลอย่างเป็นธรรม และนำเสนอจุดที่ขีดเส้นที่เหมาะสมภายในวันที่ 19 เมษายนนี้ หรือหลังสงกรานต์ ในลักษณะ Win Win ในรูปแบบสันติวิธี ในฐานะคนไทยด้วยกัน ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาคประชาสังคมและข้าราชการที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูพื้นที่ และขออนุญาตเจ้าของพื้นที่เข้าไปตามมารยาทของคนไทย เพื่อดูสภาพพื้นที่จริง และสรุปมาเป็นประเด็น 2. ในส่วนของผู้รับเหมาก่อสร้างให้ทำให้เสร็จ หรือจะให้หยุด แต่รัฐต้องจ่ายเงินตามงวดงานให้แล้วเสร็จ เพื่อไม่ให้กระทบกับบริษัทที่ได้งานมาอย่างถูกกฎหมาย 3. เกี่ยวกับบ้านพักหากรื้อถอนรัฐจะต้องหาพื้นที่เหมาะสมทดแทนในการก่อสร้าง เพื่อเยียวยาหางบประมาณมาก่อสร้างใหม่ 4. หากกำหนดพื้นที่ขีดเส้นได้แล้ว สำนักงานศาลต้องส่งคืนพื้นที่เกี่ยวข้องที่กระทบต่อผืนป่าให้ราชพัสดุ และดำเนินการโครงการปลูกป่าราษฎร์-รัฐ ร่วมใจต่อไป ซึ่งก็ตรงตามภารกิจของกองทัพในการเพิ่มพื้นที่ป่า ซึ่ง 4 ประเด็นดังกล่าว ให้ทำเป็นข้อเสนอถึงนายกรัฐมนตรี หัวหน้า คสช. โดยส่งผ่าน ผบ.มทบ.33 แล้วส่งให้แม่ทัพภาคที่ 3 ซึ่งจะนำเรียน ผบ.ทบ. เพื่อนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้า คสช. พิจารณาพร้อมข้อยุติของศาลที่ประชุมกันวันนี้ด้วย เพื่อเป็นข้อบุติที่เป็นสินติวิธี ผมเชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีเป็นคนกล้าตัดสินใจ เพราะกระทบต่อจิตใจประชาชน ผบ.ทบ. ท่านก็ฟัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ท่านก็ฟังเสียงประชาชน เมื่อเช้าผมก็นำเรียน พล.อ.ประวิตร ไปว่า ศาลขอยกเลิกมาเวทีสาธารณะท่านก็รับทราบและให้เก็บประเด็นหลักว่าประชาชนต้องการอะไร วันนี้จึงขอบคุณทุกภาคส่วนที่มาให้ข้อมูลจริง ไม่ได้ว่าร้ายใครแต่ช่วยกันอนุรักษ์ป่าไม้ ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างราบรื่นและภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ แสดงความพอใจผลสรุปดังกล่าว

ทั้งนี้ก่อนมีการสรุปนายธีระศักดิ์ รูปสุวรรณ ประธานเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ กล่าวว่า สาเหตุที่ประชาชนคัดค้านการสร้างบ้านพักตุลาการและต้องการให้ทุบทิ้ง ด้วยเหตุผล 4 ประการ เพราะ 1. กระทบจิตใจและจิตวิญญาณคนเชียงใหม่ ไม่ต้องเสียดายงบประมาณเพราะเทียบไม่ได้เลยกับป่าที่จะฟื้นฟูกลับมา จึงขอวิงวอนถึงผู้บริหารศาลว่าอย่ากลัวเสียหน้า เสียศักดิ์ศรี ผิดพลาดได้ก้แก้ไขได้ และเท่ากับกอบกู้ศรัทธาของประชาชนกลับคืนมา 2. ได้เห็นการทำลายสิ่งแวดล้อม ถมลำห้วย และเจาะภูเขา โดยเฉพาะการตัดต้นไม้นับพันต้น กระทบระบบนิเวศมากกว่า 80 ไร่ กังวลการเกิดไฟป่า และน้ำป่าในช่วงน้ำหลาก โดยใช้งบประมาณที่ฟุ่มเฟือยขัดกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แม้จะชอบด้วยกฎหมายแต่ก็ขัดพระบรมราโชวาทในเรื่องศีลธรรมและจรรยา โดยที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วมแต่อย่างใด เราไม่ได้สุดโต่งทางเครือข่ายได้มีมติให้ก่อสร้างให้เสร็จตามสัญญา และเสนอให้ตั้งคณะกรรมการร่วมกันในการชี้แนวเขตป่าดอยสุเทพซึ่งเป็นพื้นที่ป่าสมบูรณ์ให้ชัดเจน ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้คำว่า สันติและปรองดอง 16 องค์กรที่รวมกันเป็นเครือข่ายฯ ยืนหลักหลักการเดิมคือขอให้รื้อออก ทั้งบ้านพัก 45 หลัง และอาคารชุด 9 หลัง ตามแนวเขตป่าดั้งเดิม โดยศาลอาจจะเลื่อนเวลาออกไป 2 เดือน เพื่อให้สัญญาการก่อสร้างจบ ขอวิงวอนศาลให้รับฟังเสียงคนเชียงใหม่ เรามีเจตนารมณ์ว่า ไม่ว่าใครที่ไหนก็ไม่สำคัญก็ไม่มีสิทธิ์ครอบครองป่าผืนนี้
ในขณะที่นายชาติชาย นาคทิพวรรณ นักวิชาการป่าไม้ ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสำนักจัดการต้นน้ำ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 กล่าวชี้แจงว่า พื้นที่ก่อสร้างโครงการแบ่งออกเป็น 4 โซน คือ โซนแรก 40 ไร่ ไม่ได้ดำเนินการอะไร ส่วนที่โซนสอง คือ การก่อสร้างบ้านเดี่ยว จำนวน 45 หลัง บนพื้นที่ 47 ไร่ โซนที่สาม อาคารชุด 43 ไร่ และโซนที่สี่ อาคารสำนักงาน 11 ไร่ รวม 147 ไร่  โดยโซนที่สองถือว่า มีความลาดชันสูง 26% มีการตัดต้นไม้บางส่วนกลายเป็นพื้นที่เปิดโล่ง พื้นที่เป็นดินลูกรัง หากถูกเปิดจะพบดินทรายจำนวนมากง่ายต่อการชะล้างพังทลาย เพราะเป็นพื้นที่ลาดชัน ส่วนโซนที่สามและสี่อยู่บนความลาดชัน 12% สิ่งที่น่ากังวลคือ พื้นที่เป็นป่าเต็งรัง มีทั้งไม้เต็ง ไม้รัง ไม้พลวง หญ้าเพชร ซึ่งในฤดูแล้งจะผลัดใบ กลายเป็นใบไม้แห้งซึ่งเป็นเชื้อเพลิงได้ง่าย และต้องมีการจัดการที่ดีในเรื่องระบบน้ำเพราะเป็นทางน้ำไหลลงสู่ลำห้วยไปยังอ่างแม่จอกและที่ราบลุ่มของชุมชนและที่นาของประชาชน ก็ต้องบอกว่าเมื่อสภาพป่าถูกเปิด ดินโคลนเสี่ยงต่อการพังทลาย จึงอยากยกตัวอย่างว่า หากเรามีแผลติดเชื้อก็ควรตัดทิ้งไม่ให้ลุกลาม หากไม่ตัดทิ้งก็ต้องใช้ยาและรักษา ซึ่งคนไข้ก็ต้องใช้กำลังใจและเวลานาน คือ ผมห่วงเรื่องไฟป่าและน้ำหลากและการพังทลายของดินในพื้นที่

ด้านนายนพดล ณ เชียงใหม่ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ กล่าวในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นเจ้าของพื้นที่ที่อนุญาตก่อสร้างว่า พื้นที่ก่อสร้างไม่ได้ทำประชาพิจารณ์และยื่นแจ้งว่า จะมีการก่อสร้างแต่อย่างใด ด้วยเพราะเป็นพื้นที่และใช้งบประมาณราชการที่ไม่ต้องขออนุญาต แต่ต้องแจ้งว่า จะมีการก่อสร้าง แจ้งแบบแปลนอาคาร เพราะเกี่ยวข้องกับกฏหมายการควบคุมอาคารสูง แต่ที่ผ่านมาทำไปก่อนไม่ได้มีการแจ้งและเราไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้
ในขณะที่นายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ในแง่ของภาครัฐจะเข้าไปดูแลในเรื่องการควบคุมอาคาร แต่ในส่วนของภาคเอกชนที่รับงานก่อสร้างอยากเสนอให้หาทางออกเพื่อชดเชยด้วย สุดท้ายคือตั้งทีมเข้าไปสำรวจร่วมกับเครือข่ายฯ เพื่อชี้แนวเขตป่าดอยสุเทพที่เหมาะสมอย่างไร โดยยึดหัวใจของเรื่องที่การแก้ไขตามแนวสันติวิธี ซึ่งจะได้หารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อตั้งคณะกรรมการที่มาจากทุกส่วนเข้าไปดูพื้นที่เพื่อสรุปร่วมกันตามแนวทางที่ประชุมต่อไป
สำหรับข้อเสนอของเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ ก่อนหน้าการประชุมคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมในเช้าวันจันทร์ ที่ 9 เมษายน 2561 ย้ำว่า เมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา ตัวแทนของเครือข่ายฯ ได้เข้าประชุมหารือเตรียมการกับทางคณะผู้บัญชาการ มทบ.33 ซึ่งเป็นหน่วยจัดประชุมแก้ปัญหาการคัดค้านโครงการหมู่บ้านข้าราชการตุลาการ เชิงดอยสุเทพ โดยพวกเราได้รับปากและยืนยันหลักการที่จะเจรจาอย่างสุภาพ ปราศจากวาจาก้าวร้าวหรือส่อเสียด มุ่งหาทางออกอย่างสันติซึ่งเป็นแนวทางที่ยึดถือมาแต่ต้น ตัวแทนเจรจายังได้นำเสนอแนวทางและชุดข้อเสนอ เพื่อหาทางแก้ปัญหาการคัดค้านอย่างสันติ และเป็นไปอย่างถูกต้องกฎหมายกล่าวคือ 1. ภาคประชาชนจะขอคืนพื้นที่โครงการบ้านพักและแฟลตราชการเพียงบางส่วนที่มีผลกระทบต่อนิเวศน์อย่างชัดเจนในพื้นที่ส่วนบนที่สร้างบนพื้นที่ป่าเดิม ซึ่งพื้นที่ขอคืนดังกล่าวไม่รวมกับพื้นที่ของอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 และแฟลตที่พักส่วนล่างจำนวนหนึ่งหาได้ต้องการหมดทั้งแปลงแต่อย่างใด 2. เหตุผลที่ต้องขอคืนพื้นที่ส่วนบนดังกล่าว ได้จัดเตรียมข้อมูลนำเสนอผ่านโปรแกรมพาวเวอร์พอยท์และแผ่นป้าย เพื่อนำเสนอต่อตัวแทนสำนักงานเลขาธิการศาลยุติธรรมที่มาร่วมประชุมหารือได้รับทราบ โดยสังเขปก็คือ  พื้นที่ซึ่งเป็นป่าส่วนบนนั้น เป็นพื้นที่ละเอียดอ่อน เป็นป่าเขตกันชนรอยต่ออุทยานแห่งชาติ โครงการบ้านพักข้าราชการตุลาการ ได้ก่อสร้างล้ำขึ้นจากแนวการใช้ประโยชน์ของหน่วยงานอื่นๆ อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงต่อปัญหาอัคคีภัย อุทกภัยโคลนถล่มตามฤดูกาล และที่สำคัญก็คือ การบุกเบิกใช้พื้นที่บริเวณนั้นอาจจะเป็นจุดเริ่มของการขยายพื้นที่ใช้ประโยชน์เขตราชพัสดุส่วนที่เป็นป่าดอยสุเทพลุกลามตามมา
3. ตัวแทนประชาชนรับทราบความกังวลในแง่ข้อกฎหมาย และการใช้งบประมาณของรัฐที่ดำเนินไปแล้ว ภาคประชาชนรับทราบและเข้าใจเงื่อนไขข้อกฎหมายที่ผูกพัน ดังนั้นจึงเสนอให้ใช้ช่องทางตามกฎหมายเพื่อแก้ปัญหานี้ โดยให้มีการก่อสร้างส่งมอบงานตามสัญญาให้แล้วเสร็จ เพื่อมิให้เกิดการฟ้องร้องค่าเสียหายตามมา ในระหว่างนั้น ศาลยุติธรรมจัดเตรียมรังวัดคืนพื้นที่บางส่วนกลับมาเป็นที่ราชพัสดุ เพราะได้พิจารณาผลกระทบและสภาพปัญหาในมิติต่างๆ การแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งกลับเป็นที่ราชพัสดุจะนำมาซึ่งการแก้ปัญหา และเป็นทางออกที่สวยงามร่วมกันระหว่างราษฎร์-รัฐ นั่นเพราะศาลยุติธรรมในยุคสมัยใหม่เล็งเห็นว่าสาธารณประโยชน์และคุณค่าด้านจิตวิญญาณของประชาชนมีความสำคัญเหนือกว่าประโยชน์ขององค์กร จึงได้ส่งมอบคืนพื้นที่นั้น  4. ภาคประชาชนเสนอต่อตัวแทนฝ่ายทหาร เสนอแนวทางฟื้นฟูป่าและระบบนิเวศร่วมกัน ระหว่างราษฎร์-รัฐ นี่จะเป็นโอกาสอันดีที่จะเป็นช่องทางปลุกสำนึกและพลังความร่วมมือของพลังประชารัฐทุกภาคส่วน ทั้งนี้ภาคีความร่วมมือพลังประชารัฐดังกล่าว จะมีสำนักงานศาลยุติธรรมจะเป็นแกนและองค์ประกอบสำคัญ ร่วมกับประชาชนในการฟื้นฟู อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
5. แนวทางการฟื้นฟูพื้นที่ซึ่งฝ่ายประชาชนต้องการ ไม่ใช่การดำรงสิ่งปลูกสร้างไว้ ให้กับหน่วยงานอื่น หรือวัตถุประสงค์อื่นซึ่งต้องใช้งบประมาณแผ่นดินอีกจำนวนมาก ภาคประชาชนได้เรียนแจ้งต่อผู้แทนหน่วยทหารว่าต้องการจะรื้อสิ่งปลูกสร้างลงมาเพื่อจะเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสภาพป่าตามหลักวิชาการต่อไป และ 6. ภาคประชาชนตระหนักดีว่า ศาลยุติธรรมได้ดำเนินโครงการนี้มาเป็นลำดับ แต่ขอให้ศาลยุติธรรมได้โปรดเข้าใจว่า ปัญหานี้ไม่สามารถมองจากแง่มุมทางกฎหมายหรือสิ่งแวดล้อมเพียงมิติเดียวหรือสองมิติ การที่หน่วยงานในอดีตได้เลือกใช้พื้นที่ไม่เหมาะสม ยังมีผลต่อความรู้สึก ความศรัทธา ความกังวล และความไม่เชื่อมั่นต่อสถาบันของรัฐ ทั้งจะเป็นชนวนก่อให้เกิดความรู้สึกไม่เป็นมิตรกับประชาชนชาวพื้นถิ่น สะสมยาวนานต่อไปอีก ภาคประชาชนขอนำเรียนว่า จะยังยืนยัน และไม่ย่อท้อที่จะเรียกร้องขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพกลับมาเป็นมิ่งขวัญของชาวเชียงใหม่โดยรวมต่อไป จนกว่าการแก้ปัญหาจะแล้วเสร็จ ขอท่านได้โปรดเข้าใจเจตนาอันบริสุทธิ์ของภาคประชาชนด้วย
อนึ่ง ข้อมูลสำคัญที่ได้นำเรียนผ่านจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ ตัวแทนประชาชนได้นำเสนอต่อผู้บัญชาการ มทบ.33 และตัวแทนของหน่วยทหารในวงประชุมเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า เพื่อแสดงเจตนาและจุดยืนของการพยายามหาทางแก้ปัญหาอย่างสันติ ละมุนละม่อม ให้เกียรติกันและกัน เพราะเข้าใจดีว่าปัญหานี้ผูกพันต่อเนื่องยาวนานไม่ได้เป็นความผิดของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบปัจจุบัน จึงเรียนมาเพื่อขอวิงวอนให้ท่านและคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมได้โปรดพิจารณาเข้าใจเหตุผล และเจตนาของภาคประชาชน และได้โปรดตัดสินใจคืนพื้นที่บางส่วนของโครงการบ้านพักข้าราชการตุลาการ เชิงดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ แก่กรมธนารักษ์ และจากนั้นศาลยุติธรรมกับภาคประชาชนตลอดถึงหน่วยงานภาครัฐอื่น จะร่วมกันฟื้นฟูสภาพป่าและระบบนิเวศต่อไป โดยมิได้ขอให้ใช้ ม.44 หรือเดินเท้าเข้ากรุงเทพฯเพื่อกดดันแต่อย่างใด กรณีดังกล่าวเป็นส่วนบุคคลไม่ใช่มติของเครือข่ายฯ โดยรายชื่อเครือข่ายขอคืนผืนป่าดอยสุเทพ ณ วันที่ 6 เมษายน 2561 มีดังนี้ 1.ชมรมจักรยานวันอาทิตย์ 2.ชมรมร่มบิน 3. ชมรมจักรยานเสือภูเขา 4. กลุ่มรักษ์แม่ปิง 5. กลุ่มฮักเชียงใหม่ 6. ภาคีคนฮักเจียงใหม่ 7. เครือข่ายเชียงใหม่เขียว สวย หอม 8. กลุ่มมือเย็นเมืองเย็น 9. มูลนิธิไทยรักษ์ป่า 10. มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน11. เครือข่ายอาสาเฝ้าระวัง 9 (ทสม.) 12. คณะกรรมการประสานงานอนุรักษ์แม่ปิงและสิ่งแวดล้อม (คอมส.)13. ชมรมอนุรักษ์เชียงใหม่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 14. เครือข่ายชุมชนรักษ์เชียงใหม่ 15. ศูนย์เรียนรู้ธรรมชาติบ้านปางแฟน และ 16. สมาคมชาวเหนือ.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บสย. เผยผลค้ำประกันสินเชื่อปี 61 ยอดค้ำทะลุ 8.8 หมื่นล้านบาท แผนปี 62 ปั้น "New Business Model 2019" ตอบโจทย์ โลกเปลี่ยน ตั้งเป้าค้ำ 1.07 แสนล้านบาท

ม.เกษตรฯโดยวิทยุ ม.ก.คว้ารางวัลองค์กรดีเด่นวงการสื่อของ สวทท.เตรียมเข้ารับพระราชทาน"รางวัลเทพทอง"ของปีนี้

จัดยิ่งใหญ่ครบรอบก่อตั้ง 60 ปีสถานีวิทยุ ม.ก.เชียงใหม่ ปลุกพลังวิถีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงรับมือโลกแปรปรวน