เครือข่ายทวงคืนป่าดอยสุเทพขอ"สุวพันธ์"มีคำตอบด่วนคืนพื้นที่เป็นป่าเมื่อใดหลัง ก.บ.ศ.มีมติย้ายสร้างที่ใหม่เชียงราย
เครือข่ายทวงคืนป่าดอยสุเทพยืนยันมติขอคืนพื้นที่สร้างบ้านพักศาลอุทธรณ์ภาค
5 ให้เป็นผืนป่าโดยเร็วก่อนยกระดับเคลื่อนไหวเต็มที่นัดใหญ่ 26 ส.ค.แม้มีมติ ก.บ.ศ.ย้ายไปสร้างใหม่ที่เชียงราย หวั่นยืดเยื้อเพราะกว่าจะเสร็จอีกนาน ยื่นให้”สุวพันธ์”มีคำตอบด่วน...
สถานการณ์ของปัญหาโครงการก่อสร้างบ้านพักตุลากรศาลอุทธรณ์ภาค
5
ริมดอยสุเทพที่เริ่มมีกระแสร้อนตั้งแต่หลังสงกรานต์ที่ผ่านมา ระหว่างโครงการใกล้จะสร้างเสร็จ
มีกระแสวิจารณ์อย่างหนักเมื่อมีการแชร์ภาพกระหน่ำในสังคมออนไลน์ เรื่องดูเหมือนจะเย็นลงเมื่อนายกรัฐมนตรีประกาศยุติมิให้มีการเข้าอาศัยเพื่อลดกระแส และให้รอการส่งมอบงานจากเอกชนก่อนมอบกรมธนารักษ์ดูแลพร้อมให้ตั้งกรรมการและคณะทำงานทุกส่วนช่วยกันพิจารณาเพื่อให้บัวไม่ช้ำ แต่ก็ยังไม่มีอะไรชี้ชัดนักกระทั่งกระแสเริ่มฮือโหมจากเครือข่ายทวงคืนป่าดอยสุเทพอีกระลอก
ที่เห็นว่า ความวิตกเริ่มเหมือนจริงว่า ประชาชนถูกหลอกอีกหรือไม่
นับจากครบสัญญาก่อสร้างที่ต้องส่งมอบงาน 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา
งานไม่เสร็จต้องชะลอไปจนกว่าจะทำเสร็จราว 2 เดือนและแว่วว่า 24 ส.ค.นี้เอกชนผู้รับเหมาจะส่งมอบงานงวดสุดท้ายแล้ว
ประกอบกับมีมติของคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม(ก.บ.ศ.)ล่าสุดในการประชุม ครั้งที่ 9/2561 วันที่ 9 - 10 สิงหาคม 2561 ที่สัญจรไปเชียงรายและมีมติจะย้ายพื้นที่ก่อสร้างอาคารที่ทําการศาลอุทธรณ์ภาค
5 พร้อมที่พักอาศัย ไปยัง จ.เชียงรายด้วย โดยนายสราวุธ เบญจกุล เลขาธิการ สำนักงานศาลยุติธรรม ได้ระบุไว้ว่า คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ได้มีมติมอบหมายให้สํานักงานศาลยุติธรรมทําความตกลงขอใช้ที่ดินจากกรมวิชาการเกษตร บริเวณศูนย์วิจัยพืชสวนเชียงราย จ.เชียงราย ประมาณ 40 ไร่เศษ ซึ่งได้มีการลงพื้นที่สำรวจดูแล้ว เพื่อจะใช้ก่อสร้างอาคารที่ทําการศาลอุทธรณ์ภาค 5 พร้อมที่พักอาศัย และให้ดําเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลต่อไป ซึ่งหากได้รับการจัดสรรงบประมาณ เเละก่อสร้างที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 จนเเล้วเสร็จ ก็จะย้ายที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 จากที่ริมดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ มายังพื้นที่ใหม่นี้ เป็นการย้ายมาทั้งหมด ทั้งที่ทำการเเละที่พักอาศัย โดยใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 3 ปี ในส่วนของพื้นที่สร้างเดิมที่ริมดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ที่เป็นปัญหาตอนนี้ หลังจากสำนักงานศาลยุติธรรมรับมอบงานเรียบร้อย ก็จะดำเนินการทำเรื่องเสนอส่งมอบคืนพื้นที่การก่อสร้างนี้ให้กับหน่วยงานเดิมหรือคืนให้กับรัฐบาลอย่างไรก็ขึ้นกับรัฐบาลมีความเห็นชอบต่อไป ส่วนเรื่องการคืนพื้นที่จะต้องประสานงานรัฐบาลว่าจะต้องทำยังไง เเต่ทาง ก.บ.ศ.ได้มีมติแล้วว่า จะใช้ที่ดินที่ที่จังหวัดเชียงราย ตามมติล่าสุดเพื่อทำการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค 5 รวมถึงที่พักอาศัยด้วย โดยการจะย้ายบุคคลที่พักอาศัยได้นั้น ก็จะต้องรอที่ทำการเเละบ้านพักในที่ใหม่ดังกล่าวสร้างเสร็จสิ้นเสียก่อน
วันที่ 16 สิงหาคม 2561 นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่
ก็เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการกำหนดแนวทางดำเนินการในส่วนของสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่และฟื้นฟูสภาพป่าจากกรณีก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการ อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 2/2561 โดยที่ประชุมมีการหารือกันอย่างเคร่งเครียดและได้บทสรุปเพื่อนำเสนอให้รัฐบาลพิจารณาความชัดเจนภายใน 10
วัน จนถึงวันที่เครือข่ายทวงคืนฯได้ประกาศขอชุมนุมเพื่อทวงถามครั้งใหญ่ 26
ส.ค.นี้ที่ข่วงประตูท่าแพ ซึ่งมติสรุปได้ว่า “เห็นควรให้ดำเนินการรื้อย้ายในส่วนบ้านพัก
45 หลัง โดยกำหนดกรอบระยะเวลาโดยเร่งด่วนชัดเจน เห็นควรให้ดำเนินการรื้อย้ายในส่วนอาคารชุด
9 หลัง โดยมีเงื่อนไขกำหนดให้ผู้อาศัยเดิมในส่วนอาคารชุด 9
หลังย้ายไปพักอาศัยในอาคารชุด 4 หลัง นอกแนวเขตที่สำนักงานธนารักษ์พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
รังวัดไว้ให้เต็มเสียก่อน หากไม่เพียงพอให้ขยายเท่าที่จำเป็นเท่านั้นและเห็นควรให้มีการส่งมอบพื้นที่ดังกล่าวรวมถึงพื้นที่ที่ยังไม่มีการก่อสร้างบ้านพักบริเวณด้านบนที่เป็นป่าให้แก่กรมธนารักษ์โดยเร็ว
จากนี้ทางจังหวัดจะได้สรุปข้อมูลจากที่ประชุมส่งให้ นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่นายกรัฐมนตรีมอบให้ดูแลเรื่องนี้พิจารณาต่อไป”
นายธีรศักดิ์
รูปสุวรรณ ผู้ประสานงานเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ แกนนกลุ่มกล่าวว่า
จะขอรอคำตอบจากนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าจะพิจารณาเห็นชอบตามมติของคณะกรรมการในระดับจังหวัดหรือไม่อย่างไร แต่เครือข่ายฯยังคงยืนยันชุมนุมใหญ่ในวันที่
26 สิงหาคมนี้ ที่ข่วงประตูท่าแพ
โดยหากยังไม่มีความชัดเจนก็จะยกระดับการชุมนุมเพิ่มขึ้น แต่หากมีความชัดเจน
ก็จะเป็นการชุมนุมเพื่อขอบคุณรัฐบาลที่ฟังเสียงของประชาชนแทนและย้ำว่า การประชุมครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ภาคประชาชนจะร่วมเพราะผ่านมาไม่มีหลักประกันความชัดเจน
ยืดเยื้อมากว่า 3 เดือน
เมื่อมีมติไปสร้างที่อื่นที่เดิมก็ต้องคืนเป็นพื้นที่ป่าตามที่ภาคประชาชนได้ยืนยันตั้งแต่ต้น
ข้อกังวลของกลุ่มที่ทวงคืนพื้นที่ให้กลับไปเป็นป่าดังเดิมเป็นห่วงคือ การย้ายออกและรื้อถอน
ตอนนี้คนไปอยู่อาศัยแล้วเพราะต่างก็ถือเอาความถูกต้องตามกฎหมาย
สถานที่ดังกล่าวหากยึดตามกฎหมายก็คือ “สถานที่ราชการ” ซึ่งหากยึดตามกฎหมายความถูกต้องตามนี้
ราชการและประชาชนก็มีความขัดแย้งไม่สมานสามัคคี
เกิดวิกฤติศรัทธากับสถาบันศาลโดยเลี่ยงมิได้
ต่างฝ่ายต่างยืนกระต่ายขาเดียวก็อยู่ร่วมกันยาก
การเจรจาหารือพูดคุยเอหาทางออกที่เหมาะสมที่สุด ยังเป็นแนวทางที่ดีที่สุด และเมื่อ
ก.บ.ศ.มีมติว่า จะย้ายไปเพื่อลดกระแสต่อต้าน แต่ก็ยังมีเรื่องการย้ายจากพื้นที่
การฟื้นฟู รื้อถอน ซึ่งทุกอย่างก็ต้องทำอย่างรอบด้านด้วยความถูกต้องเช่นกัน
ถ้ามองง่ายๆ ตอนนี้หากย้ายไปสร้างเชียงราย
แต่กว่าจะได้รับงบประมาณและก่อสร้างเสร็จ คงใช้เวลาอีกหลายปี เฉพาะแค่พื้นที่เดิมริมดอยสุเทพนี้กว่าจะขอใช้พื้นที่ได้ปี
2549 ที่กรมธนารักษ์ออกหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินราชพัสดุดังกล่าว ต่อด้วยกระทรวงการคลังได้อนุมัติให้สำนักงานศาลยุติธรรมใช้พื้นที่ก่อสร้างที่ทำการศาลอุทธรณ์ภาค
5 บ้านพักตุลาการ และอาคารชุดสำหรับข้าราชการตุลาการ ปี 2556 ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ถึงได้รับงบประมาณ
จึงเริ่มเปิดพื้นที่ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ตามที่ได้กำหนดไว้ จนกำหนดเสร็จ 18 มิถุนายน 2561 โดยใช้งบประมาณทั้งบ้านพัก อาคารชุด
สำนักงานศาล จำนวน 1,017,355,000 บาท
ปัญหานี้ถ้ามองว่าใครจะชัยชนะ ถือว่ามองผิดและจะจบไม่สวย ต้องช่วยกันมองว่า
ทางออกที่ดีทำอย่างไรมากกว่า แม้ย้ายพื้นที่ก่อสร้าง
ก็อย่าลืมว่า ก็ต้องใช้งบประมาณที่เป็นภาษีไปอีกไม่ใช่น้อย
พื้นที่ป่าดอยสุเทพในวิถีธรรมชาติและระบบนิเวศน์ที่ต้องฟื้นฟูมันก็ไม่ใช่ง่ายๆได้เร็ว
เพราะกว่าทุกอย่างจะสมบูรณ์ก็ต้องใช้เวลาเพราะไม่ใช่แค่ผืนป่า
เป็นเรื่องเชื่อมโยงทั้งระบบนิเวศน์ ชุมชน และสังคม มีมิติด้านสิ่งแวดล้อม มิติด้านสังคม-วัฒนธรรม
มิติด้านการออกแบบเมืองและ มิติด้านภัยพิบัติ ที่ผูกพันชาวเชียงใหม่มาแต่อดีตกาล
แม้ปัญหาจะยุ่งยากมากด้วยข้อกฏหมาย แต่ถ้าผู้เกี่ยวข้องได้นั่งคุยกันก็มีทางออก
ทุกอย่างแก้ไขได้ถ้าช่วยกันจริงๆ ขออย่าให้เป็นบทเรียนที่ย่ำแย่ที่ใครจะชนะ
ขอให้เป็นบทเรียนที่มีค่าให้ลูกหลานได้ชื่นชมดีกว่า
ตอนนี้สังคมเริ่มมีการตั้งคำถามคาใจคนทั้งประเทศหลากหลาย ทั้งเรื่อง “ธรรมาภิบาลนักบริหาร,
สำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อม การสืบสานพระราชปณิธานในรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10
พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ที่มีพระราชกระแสในเรื่องการปกป้องผืนป่า ต้นน้ำ
ต้นชีวิต หลักของความพอเพียงที่คนทั้งประเทศต่างยึดเหนี่ยว จริยธรรมสิ่งแวดล้อม
ฯลฯ ป่าแห่งนี้เป็นแนวเขตกันชนของวิถีจารีตประเพณี ความเชื่อต่างๆ
ที่แม้แต่องค์การยูเนสโก้(UNESCO) ยังประกาศไว้ในปี 2520 การใช้พื้นที่อย่างสมดุลในแต่ละด้านทั้งการพัฒนา การเกื้อกูล ไม่ทำลายระบบนิเวศน์
การอนุรักษ์ความหลายหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรม หรือสิ่งที่จะอยู่กับลูกหลานในอนาคต เตือนสติว่าไม่มีใครชนะบนซากปรักหักพัง.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น