มช.-วช.-สนช.-ปตท. MOU การพัฒนาต่อยอดงานวิจัย ด้านพลาสติกชีวภาพ สู่เชิงพาณิชย์ ระยะที่ 2 ทำ“ไหมเย็บแผลที่ละลายได้” คุณภาพสูงมาตรฐานโลกแห่งแรกของประเทศ ช่วยลดการนำเข้า 100%

นักวิจัย มช.สุดเจ๋ง เดินหน้าต่อยอดระยะ 2 ยกระดับเครื่องมือแพทย์ทำไหมเย็บแผลที่ละลายได้” คุณภาพสูงมาตรฐานโลกแห่งแรกของประเทศ ช่วยลดการนำเข้า 100 ร่วมกับ วช.-สนช.และ ปตท. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การพัฒนาต่อยอดงานวิจัยด้านพลาสติกชีวภาพสู่เชิงพาณิชย์ ระยะที่ –ทำไหมเย็บพอลิเมอร์ดูดซึมได้คุณภาพสูงสำหรับเครื่องมือแพทย์ครั้งแรกของประเทศ สอดรับนโยบายรัฐไทยแลนด์ 4.0
เชียงใหม่ 15 ม.ค.-ที่ห้องประชุมพระยาศรีวิสารวาจา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (สนช.) และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การพัฒนาต่อยอดงานวิจัยด้านพลาสติกชีวภาพสู่เชิงพาณิชย์ ระยะที่ 2 (ช่วงทดสอบตลาด การผลิตพอลิเมอร์ดูดซึมได้คุณภาพสูงสำหรับเครื่องมือแพทย์”) โดยสืบเนื่องจาก 4 หน่วยงาน ได้ร่วมทุนสนับสนุนโครงการผลิตพอลิเมอร์ดูดซึมได้คุณภาพสูงสำหรับเครื่องมือแพทย์ ในการสร้างห้องปฏิบัติการผลิตพลาสติกชีวภาพทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเป็นห้องปฏิบัติการแห่งแรกของประเทศไทยที่ได้การรับรอง ISO 13485 (ระบบการบริหารจัดการคุณภาพอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์) จาก TÜV SÜD ประเทศสหรัฐอเมริกา ในขอบเขต การออกแบบและพัฒนาการผลิตและจำหน่ายพอลิเมอร์การแพทย์” เพื่อผลิตและจำหน่ายเม็ดพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพเกรดทางการแพทย์ตามมาตรฐานระดับนานาชาติ คือ ASTM F1925-09 (Standard Specification for Semi-Crystalline Poly(lactide) Polymer and Copolymer Resins for Surgical Implants) ซึ่งได้พัฒนาเทคโนโลยีการผลิตพลาสติกชีวภาพของประเทศไทยเองโดยใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาใหม่ โดยได้จดสิทธิบัตรต่างประเทศเรียบร้อยแล้วในประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน ตามเลขที่สิทธิบัตร US 9,637,507 B2 (May 2017) JP 6246225 (November 2017) CN 104903333B (Jan 2018) ขณะนี้ห้องปฏิบัติการได้ผลิตและจำหน่ายทางการค้าโดยใช้แผนธุรกิจของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมีอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ 
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วินิตา บุณโยดมหัวหน้าห้องปฏิบัติการผลิตพลาสติกชีวภาพสำหรับใช้ทางการแพทย์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า เม็ดพลาสติกย่อยสลายได้ทางชีวภาพประเภทพอลิเอสเทอร์เกรดทางการแพทย์ที่สามารถผลิตได้ในห้องปฏิบัติการจากวัตถุดิบชีวมวลที่เป็นพืชผลทางการเกษตร เช่น ข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลัง ตัวอย่างเช่น พอลิ(แอล-แลคไทด์) (พีแอลแอล) พอลิ(แอล-แลคไทด์-โค-คาโปรแลคโทน) (พีแอลซี) พอลิ(แอล-แลคไทด์-โค-ไกลคอไลด์) (พีแอลจี) มีชื่อทางการค้าคือ CMU-Bioplasorb® PLA, CMU-Bioplasorb® PLC และCMU-Bioplasorb® PLG จำหน่ายในราคากิโลกรัมละ 78,000-90,000 บาท ซึ่งถูกกว่าสั่งซื้อจากต่างประเทศซึ่งสูงถึงกิโลกรัมละ 120,000-200,000 บาท โดยเม็ดพลาสติกเกรดการแพทย์นี้สามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบตั้งต้นสำหรับผลิตวัสดุทางการแพทย์ที่ย่อยสลายได้ในร่างกายมนุษย์ เช่น ไหมเย็บแผลที่ละลายได้ ท่อนำเส้นประสาท ตัวควบคุมการปลดปล่อยตัวยาภายในร่างกาย และ เครื่องมือแพทย์ เช่น วัสดุทางทันตกรรม สกรูและแผ่นดาม เป็นต้น อย่างไรก็ตามทั้งเม็ดพอลิเมอร์และวัสดุทางการแพทย์ดังกล่าวไม่สามารถผลิตใช้ได้เองในประเทศไทย ต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศซึ่งมีราคาแพง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องผลักดันให้เกิดการใช้วัสดุทางการแพทย์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานและผลิตขึ้นเองในประเทศไทย ซึ่งจะส่งให้ลดการซื้อวัสดุและอุปกรณ์สิ้นเปลืองทางการแพทย์จากต่างประเทศซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยให้มีสุขภาพดี ทำให้แพทย์และคนไข้มีทางเลือกในการรักษา ซึ่งอุตสาหกรรมวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมปลายน้ำของพลาสติกที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูงมาก มีอัตราการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แนวโน้มการขยายตัวคาดว่าจะต่อเนื่องไปในอนาคต เนื่องจากประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุจึงต้องการการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตพลาสติกและนวัตกรรมในการผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ดังกล่าวเป็นอย่างยิ่
ทั้งนี้ปัจจุบันคณะผู้วิจัยห้องปฏิบัติการผลิตพลาสติกชีวภาพทางการแพทย์ ร่วมมือกับทีมแพทย์และสัตวแพทย์ ในการนำเม็ดพลาสติกชีวภาพดังกล่าวมาพัฒนาต่อยอดโดยการขึ้นรูปเป็น ไหมเย็บแผลละลายได้ชนิดเส้นเดี่ยว ดำเนินการติดเข็ม ฆ่าเชื้อ บรรจุภัณฑ์ พร้อมใช้ ซึ่งไหมเย็บแผลละลายได้นี้สามารถย่อยสลายได้ด้วยปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสโดยระบบเมตาบอลิซึมในร่างกาย จึงช่วยลดขั้นตอนในการรักษา ทำให้ไม่ต้องทำการผ่าตัดซ้ำ ผู้ป่วยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมและไม่ต้องทนเจ็บปวดหลายครั้ง ทั้งนี้เมื่อโครงการนี้สำเร็จสามารถลดการนำเข้าจากต่างประเทศได้ 100% ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมด หน่วยงานจึงได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาต่อยอดงานวิจัยด้านพลาสติกชีวภาพสู่เชิงพาณิชย์ ระยะที่ 2 (ช่วงทดลองตลาด การผลิตพอลิเมอร์ดูดซึมได้คุณภาพสูงสำหรับเครื่องมือแพทย์”) ในครั้งนี้ โดยเป้าหมาปี 2564 จะสามารถนำไปสู่การดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ทันที
โดยศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์นิเวศน์ นันทจิต อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า โครงการวิจัยนี้สนับสนุนนโยบายรัฐบาล Thailand 4.0 ซึ่งได้กำหนดให้มีการพัฒนา 10อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ในส่วนของอุตสาหกรรมใหม่ ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนรูปแบบผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาขีดความสามารถ ให้มีศักยภาพรองรับการแข่งขันในอนาคต ด้านอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ และ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ทำให้นักวิจัยในประเทศไทยรวมทั้งผู้ประกอบการด้านวัสดุทางการแพทย์สามารถซื้อเม็ดพลาสติกได้กิโลกรัมละประมาณ 80,000-90,000 บาท ถูกกว่าการสั่งซื้อจากต่างประเทศเท่าตัว จึงเป็นโอกาสดีที่จะผลิตเพื่อส่งออกและชดเชยการนำเข้าและมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับภายใต้มาตรฐานสากลด้วย ปัจจุบันคณะผู้วิจัยร่วมมือกับทีมแพทย์และสัตวแพทย์ ในการนำเม็ดพลาสติกชีวภาพดังกล่าวมาพัฒนาต่อยอดโดยการขึ้นรูปเป็น ไหมเย็บแผลที่ละลายได้ซึ่งสามารถย่อยสลายได้ในร่างกาย จึงช่วยลดขั้นตอนในการรักษา ทำให้แพทย์ไม่ต้องทำการผ่าตัดซ้ำ ผู้ป่วยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมและไม่ต้องเจ็บปวดหลายครั้ง การพัฒนา พลาสติกชีวภาพสำหรับใช้ทางการแพทย์” จึงเป็นงานวิจัยที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นสินค้านวัตกรรมที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตให้ได้ตามมาตรฐาน หากมีการใช้วัสดุทางการแพทย์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานและผลิตขึ้นเองในประเทศไทย จะส่งให้ลดการซื้อวัสดุและอุปกรณ์สิ้นเปลืองทางการแพทย์จากต่างประเทศได้มาก
ด้านศาสตราจารย์นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กล่าวว่า วช. มีนโยบายชัดเจนในด้านการวิจัยและขับเคลื่อน ตามยุทธศาสตร์ชาติและเป้าหมายThailand 4.0 โดยได้จัดทาแนวทางการสนับสนุนการวิจัยในหลายลักษณะ เช่น ในปี 2559 เป็นต้นมา ได้เริ่มแผนงานวิจัยท้าทายไทย เพื่อให้ได้โครงการวิจัยขนาดใหญ่ (15-50 ล้านบาท) มีเป้าหมายในการแก้ปัญหาสำคัญของชาติที่ชัดเจน เป็นการผสานองค์ความรู้จากการวิจัยหลายๆ ศาสตร์ และวิจัยเพิ่มเติม โดยการมีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนในพื้นที่ นาผลงานวิจัยที่ได้มาขยายผลใช้ประโยชน์ในการแก้ปัญหาที่ตั้งเป้าหมายไว้ให้ได้ภายใน 3-5 ปี ซึ่งมีหลายโครงการที่ประสบความสำเร็จและใช้ประโยชน์ได้จริง เช่น Haze Free Thailand โดยมอบมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นเจ้าภาพ Fluke Free Thailand มอบมหาวิทยาลัยขอนแก่นเป็นเจ้าภาพ Precision Medicine มอบมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นเจ้าภาพ และโครงการระบบโลจิสติกส์สาธารณสุข มอบมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นเจ้าภาพ เป็นต้น และในปี 2562 ได้เริ่มโครงการ Spear head

สาหรับโครงการวิจัย การผลิตพอลิเมอร์ดูดซึมได้คุณภาพสูงสาหรับเครื่องมือแพทย์” วช. และหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ สนช. ปตท. และ มช. ร่วมกันสนับสนุนโครงการวิจัย ในวันนี้เป็นตัวอย่างของความสำเร็จของการทำงานร่วมกัน เกิดเป็น โรงงานต้นแบบระดับห้องปฏิบัติการแห่งแรกในประเทศไทย” ที่ได้การรับรองมาตรฐาน ISO 13485 และผ่านการรับรองระบบการจัดการด้านความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวกับสารเคมี ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรมระบบการจัดการด้านความปลอดภัยของห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวกับสารเคมี (มอก. 2677-2558)” ภายใต้โครงการจัดทำกระบวนการตรวจประเมินและรับรองห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวกับสารเคมีของ วช. โดยสามารถผลิตเม็ดพลาสติกชีวภาพเกรดทางการแพทย์ ขณะนี้อยู่ระหว่างช่วงทดสอบตลาด และทั้ง 4 ฝ่ายได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การพัฒนาต่อยอดงานวิจัยด้านพลาสติกชีวภาพสู่เชิงพาณิชย์ ระยะที่ 2” เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาต่อยอดงานวิจัยอย่างครบวงจร เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ให้กับประเทศ นอกจากจะเป็นการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของอุตสาหกรรมชีวการแพทย์จากพลาสติกชีวภาพและลดอัตราการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศแล้ว ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตรได้อีกทางหนึ่งด้วย และเป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เกิดผลสัมฤทธิ์สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และเป้าหมาย Thailand 4.0
ดร.วิวรรณ ธรรมมงคล ผู้จัดการฝ่ายวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีกระบวนการปิโตรเลียมและปิโตรเคมี สถาบันนวัตกรรม ปตท. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ปตท. เข้ามามีส่วนร่วมโดยมีบทบาทหลักในการผลักดันผลงานวิจัยของโครงการนี้จากหิ้งไปสู่ห้างให้เกิดเป็นผลสัมฤทธิ์จริง ซึ่งการดำเนินงานในระยะที่ 1 ที่แล้วเสร็จไปเมื่อปลายปี 2560 นั้น ได้ผลสัมฤทธ์สองประการที่สำคัญอันได้แก่ ได้โรงงานต้นแบบระดับห้องปฏิบัติการแห่งแรกในประเทศไทย ที่ได้การรับรองระบบจัดการคุณภาพ ISO 13485 จากบริษัท TUV SUD และประการที่สอง ได้เรซินที่สามารถประยุกต์ใช้ทางการแพทย์ ที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐานสากล ASTM F1925 ซึ่งจะช่วยทดแทนการนำเข้าวัสดุทางการแพทย์จากต่างประเทศได้ และเพื่อให้โครงการดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง สามารถต่อยอดไปสู่เป้าหมายในเชิงพาณิชย์ได้ ปตท. จึงได้ให้การสนับสนุนงบประมาณต่อเนื่องในระยะที่ ภายในกรอบระยะเวลาสองปี (2561-2562) รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ล้านบาท โดยการนำร่องซื้อเม็ดเรซินที่สังเคราะห์ได้จากโรงงานต้นแบบดังกล่าว เพื่อนำไปทดลองขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์ไหมละลาย นอกจากนั้นแล้ว ปตท. ยังได้ดำเนินการหารือร่วมกับพันธมิตรในการนำผลิตภัณฑ์ไหมละลายที่ได้ดังกล่าวไปทดลองใช้งานจริงอีกด้วย
ละดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า สนช. ได้เห็นความสำคัญของการเพิ่มมูลค่าสูงของการเกษตร และต้องการจะพลิกโฉมการเกษตรของประเทศไทย (agriculture transformations) คณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ จึงได้จัดตั้งเป็น ศูนย์สร้างสรรค์ธุรกิจนวัตกรรมการเกษตร หรือ Agro-Business Creative Center, ABC center” โดยมีเป้าหมายให้เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่ด้านการเกษตรที่มีศักยภาพในการพัฒนาได้อย่างยั่งยืน โดยใช้นวัตกรรมเป็นเครื่องนำทาง มีพันธกิจหลัก คือ เร่งสร้างและยกระดับความสามารถด้านนวัตกรรมของกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจนวัตกรรมการเกษตรที่สร้างสรรค์และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาด้านการเกษตร ตลอดจนสนับสนุนให้เกิดระบบนิเวศของการสร้างธุรกิจนวัตกรรมเกษตร (Agtech ecosystem) ทั้งนี้การกำหนดการสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่สาหรับนวัตกรรมการเกษตรใน สาขา โดยสาขาธุรกิจไบโอรีไฟเนอรี่ เป็นหนึ่งในสาขาสำคัญด้านเทคโนโลยีเชิงลึก หรือ Deep Tech ที่มีการสนับสนุนด้านยุทธศาสตร์นวัตกรรมการเกษตรและอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องของประเทศ ที่มีการเพิ่มมูลค่าสูงให้กับวัตถุดิบทางการเกษตร เนื่องจาก ไบโอรีไฟเนอรี่Biorefinery เป็นการแปรรูปวัตถุดิบทางการเกษตรหรือของเหลือทิ้งจากการเกษตร โดยใช้กระบวนการทางเทคโนโลยีชีวภาพโดยใช้ จุลินทรีย์ แบคทีเรีย ยีสต์ เอ็นไซม์ หรืออื่นๆ ให้ทำหน้าที่เสมือนโรงงาน (cell factory) ให้ได้เป็นผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ เชื้อเพลิงและพลังงาน ชีวเคมีภัณฑ์ อาหารสัตว์แห่งอนาคต อาหารแห่งอนาคต และชีวเภสัชภัณฑ์ ซึ่งพลาสติกชีวภาพเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง เพื่อสร้างระบบนิเวศน์ที่ครบวงจรและส่งเสริมการเติบโตของ Bioeconomy ตามแผนการพัฒนาประเทศไทย 4.0 สอดคล้องในการสร้างอุตสาหกรรมใหม่.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บสย. เผยผลค้ำประกันสินเชื่อปี 61 ยอดค้ำทะลุ 8.8 หมื่นล้านบาท แผนปี 62 ปั้น "New Business Model 2019" ตอบโจทย์ โลกเปลี่ยน ตั้งเป้าค้ำ 1.07 แสนล้านบาท

ม.เกษตรฯโดยวิทยุ ม.ก.คว้ารางวัลองค์กรดีเด่นวงการสื่อของ สวทท.เตรียมเข้ารับพระราชทาน"รางวัลเทพทอง"ของปีนี้

จัดยิ่งใหญ่ครบรอบก่อตั้ง 60 ปีสถานีวิทยุ ม.ก.เชียงใหม่ ปลุกพลังวิถีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงรับมือโลกแปรปรวน