ชาวคะฉิ่นในประเทศไทย เข้ายื่นหนังสือร้องต่อประธานคณะกรรมการกาชาดสากลวอนขอให้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากการสู้รบกว่า 1.2 แสนคนที่กำลังอดยากและสิ้นหวังในชีวิต กว่าครึ่งเป็นเด็ก สตรี คนชรา วอนให้สังคมโลกมองเห็นความยากแค้นถูกละเมิดสิทธิ์ความเป็นคน


ตัวแทนชาวคะฉิ่นในประเทศไทย เข้ายื่นหนังสือร้องต่อประธานคณะกรรมการกาชาดสากล ICRC วอนขอให้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากการสู้รบกว่า 1.2 แสนคนที่กำลังอดยากและสิ้นหวังในชีวิต กว่าครึ่งเป็นเด็ก สตรี คนชรา วอนให้สังคมโลกมองเห็นความยากแค้นถูกละเมิดสิทธิ์ความเป็นคน
เชียงใหม่ 10 มิ.ย.-ที่สำนักงานกาชาดสากล สำนักงานจังหวัดเชียงใหม่ ตัวแทน ชุมชนชาวคะฉิ่นในประเทศไทย ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อประธานคณะกรรมการกาชาดสากล วิงวอนขอให้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากการสู้รบกว่า 120,000 คนที่กำลังอดยาก และสิ้นหวังในชีวิตเวลานี้ ซึ่งระหว่างเข้ายื่นหนังสือครั้งนี้ตัวแทนได้อ่านแถลงการณ์และมีตัวแทนจำนวนหนึ่งได้ล้มตัวลงนอนกับพื้นต่อหน้าสื่อมวลชนที่มาร่วมสังเกตการณ์ พร้อมป้ายมีข้อความประกอบว่า คนคะฉิ่นล้มตายตรงนี้ แต่ไม่มีใครสนใจ เพื่อเป็นการสะท้อนในการเรียกร้องให้สังคมโลก สนใจผู้ประสบภัยที่โลกลืมกลุ่มนี้
ภายในหนังสือแถลงการณ์ได้ระบุว่า เสียงเรียกร้องที่ไม่มีใครเคยได้ยิน จากผู้ได้รับภัยจากการสู้รบในรัฐคะฉิ่น ประเทศเมียนมาร์ เป็นเวลาหลายสิบปีที่ชนกลุ่มน้อยในเมียนมาร์ รวมทั้งประชาชนคะฉิ่นที่อาศัยทางตอนเหนือของ ประเทศ ต้องทนทุกข์กับความขัดแย้งทางการเมืองและทหาร พวกเขาล้มตาย บาดเจ็บ ทุกข์ทรมาน ถูกละเมิดสิทธิ์ ถูกละเมิดชีวิต ถูกปฏิบัติอย่างไร้ค่าในบ้านเกิดของพวกเขาเอง ชนกลุ่มน้อยบางส่วนสามารถหลบหนีภัยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน หรือไปไกลยังประเทศที่สาม พวกเขาหลบหนีกระจายไปทั่วโลกหลายล้านคน โลกรู้จักพวกเขาดี ในนามโรฮิงยา กะเหรี่ยง ฉาน ตะอาง แต่คะฉิ่นซึ่งประสบชะตากรรมเลวร้ายไม่ต่างกัน กลับไม่สามารถหลบหนีไปที่ใดได้ พวกเขาล้มตายทน ทุกข์ทรมาน บ้านแตกสาแหรกขาด อย่างเงียบงัน ในพื้นที่ที่มีการสู้รบต่อเนื่อง ถูกล้อมกรอบอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน โลกภายนอกไม่สามารถเข้าถึง และการหลบหนีเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ เมื่อพื้นที่ด้านหนึ่งถูกล้อมไว้ด้วยกองทัพ อีกด้านหนึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่เข้มงวด ไม่อนุญาตให้พวกเขาได้หลบภัยใดๆ
ปัจจุบันมีคนคะฉิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบอาศัยในค่ายผู้อพยพ ที่สร้างขึ้นตามมีตามเกิดในพื้นที่ของพวกเขาเอง กว่า 120,000คน ครึ่งหนึ่งเป็นเด็ก สตรี และคนชรา เด็กที่อายุต่ำกว่า 8ขวบ ล้วนเกิดในเต๊นท์พลาสติก เติบโตอย่างขาดแคลนในเต๊นท์พลาสติก และหากการสู้รบยังดำเนินต่อไป ที่สุดพวกเขาจะตายไป โดยที่ไม่รู้ว่าบ้านเป็นอย่างไร รัฐคะฉิ่นมีค่ายผู้อพยพในพื้นที่ตนเองกว่า 100 แห่ง มากที่สุดในบรรดารัฐชนกลุ่มน้อยทั้งหลาย พวกเขาทั้งหมดไม่สามารถหลบหนีออกจากพื้นที่ได้โดยสิ้นเชิง พวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์กระทั้งจะเป็นผู้อพยพ ไม่มีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเช่นเดียวกับผู้ อพยพจากภัยสงครามทั่วโลก มากไปกว่านั้น ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม จากองค์กรระหว่างประเทศ ถูกกองทัพเมียนมาร์ ห้ามไม่ให้เข้าไปในพื้นที่มาเป็นเวลา 8ปี เต็ม ผู้ประสบภัยกว่า 120,000 คน จึงอยู่อย่างแร้นแค้นสาหัส ไร้ ความหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีขึ้น การได้กินหมู 1ชิ้น ในหลายเดือน เป็นฝันที่เด็กคะฉิ่นยากจะเอื้อมถึง พวกเขามีคำถามต่อโลกว่า พวกเขาทำผิดอะไร จึงต้องประสบชะตากรรมเช่นนี้
เราขอวิงวอนต่อสังคมโลก ต่อเพื่อนร่วมโลก แต่มนุษย์ร่วมเผ่าพันธุ์เดียวกัน ให้ได้รับรู้ถึงความทุกข์ ทรมานของพวกเขา เราวิงวอนต่อองค์กรมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ทั้งองค์การสหประชาชาติ ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิ มนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ ให้ช่วยเหลือพวกเขาอย่างเร่งด่วน ก่อนที่ภัยจากการสู้รบจะเข่นฆ่าพวกเขาให้ตายลงอย่างช้าๆ และเงียบงัน
หลังจากนั้นทางตัวแทนชาวคะฉิ่นได้เข้ายื่นหนังสือต่อ นายไกสอน เตียวประเสริฐ หัวหน้าสำนักงานเชียงใหม่ คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ International Committee of the Red Cross (ICRC) ขณะที่ตัวแทนอีกส่วนหนึ่งได้เข้ายื่นหนังสือถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ และข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ที่สำนักงานสหประชาชาติ ในกรุงเทพมหานครด้วย.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บสย. เผยผลค้ำประกันสินเชื่อปี 61 ยอดค้ำทะลุ 8.8 หมื่นล้านบาท แผนปี 62 ปั้น "New Business Model 2019" ตอบโจทย์ โลกเปลี่ยน ตั้งเป้าค้ำ 1.07 แสนล้านบาท

ม.เกษตรฯโดยวิทยุ ม.ก.คว้ารางวัลองค์กรดีเด่นวงการสื่อของ สวทท.เตรียมเข้ารับพระราชทาน"รางวัลเทพทอง"ของปีนี้

จัดยิ่งใหญ่ครบรอบก่อตั้ง 60 ปีสถานีวิทยุ ม.ก.เชียงใหม่ ปลุกพลังวิถีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงรับมือโลกแปรปรวน