ชาวเชียงใหม่เตรียมเฮ ปี 70 ได้นั่งรถไฟฟ้า สายแรกแล้ว หลังรัฐเดินหน้าจ้างที่ปรึกษาวางแผนพร้อมกำหนดแบบประกวดราคา คาดใช้งบ 3 หมื่นล้าน อบจ.วางแผนแจม
ชาวเชียงใหม่เตรียมเฮ ปี 70 ได้นั่งรถไฟฟ้า
สายแรก หลังรัฐเดินหน้าจ้างที่ปรึกษาวางแผนพร้อมกำหนดแบบประกวดราคา คาดใช้งบ 3
หมื่นล้าน ด้านนายก อบจ.เชียงใหม่"บุญเลิศ บูรณุปกรณ์"ไอเดียเจ๋งเตรียมระดมทุนพื้นที่ขอแจม PPP ระบุเห็นโอกาสงามเพียบ
เชียงใหม่ 31 ก.ค.-
ที่โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ นายภคพงศ์
ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ครั้งที่ 1
(การปฐมนิเทศโครงการ) งานศึกษารายละเอียดความเหมาะสม ออกแบบ
และจัดเตรียมเอกสารประกวดราคา โครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดเชียงใหม่ สายสีแดง
(โรงพยาบาลนครพิงค์ – แยกแม่เหียะสมานสามัคคี)
หลังจากที่ รฟม.ลงนามจ้างที่ปรึกษาศึกษารายละเอียดความเหมาะสม
ออกแบบและจัดเตรียมเอกสารประกวดราคา กับกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา นำโดยบริษัท
อินเด็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด วงเงิน 98.2 ล้านบาท
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมาเป็นเวลา 1 ปี
ก่อนสรุปเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโครงการประมาณต้นปี 2563 โดยภายในงานมีผู้นำชุมชนและประชาชนในพื้นที่
ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรอิสระ สถาบันการศึกษา
และผู้สนใจรวมถึงสื่อมวลชนเข้าร่วมการประชุมกว่า 300 คน โดยมีนายมนัส ขันใส
รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ร่วมเป็นประธานพิธีเปิด
นายภคพงศ์ กล่าวว่า การประชุมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนครั้งนี้
เป็นการนำเสนอข้อมูลของโครงการ แผนการดำเนินงาน แนวคิดการออกแบบรูปแบบโครงการ
แนวทางการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการดำเนินงานด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน
เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้รับทราบข้อมูลพร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ
เพื่อนำไปเป็นแนวทางในปรับปรุงโครงการต่อไป
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานช่วงที่ 1 งานศึกษารายละเอียดความเหมาะสม (Feasibility Study) ออกแบบ
จัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์การให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการ มีระยะเวลาดำเนินการ
1 ปี
ซึ่งตามผลการศึกษาแผนแม่บทการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะจังหวัดเชียงใหม่
ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ระบุว่า โครงการระบบขนส่งมวลชน
จังหวัดเชียงใหม่ สายสีแดง (โรงพยาบาลนครพิงค์ – แยกแม่เหียะสมานสามัคคี) เป็นระบบรถไฟฟ้ารางเบา
(Light Rail Transit) รูปแบบโครงสร้างทางวิ่งผสมระดับใต้ดินและระดับดิน
มีแนวเส้นทางตามแนวเหนือ –
ใต้ รวมระยะทางประมาณ 12.54 กิโลเมตร
มีสถานีจำนวน 12 สถานี ผ่านสถานที่สำคัญ เช่น โรงพยาบาลนครพิงค์
สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ
มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ สถานีขนส่งช้างเผือก โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีหางดง
(แยกแม่เหียะ สมานสามัคคี) เป็นต้น ทั้งนี้ รฟม.
ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.)
ให้เป็นผู้ดำเนินโครงการระบบขนส่งมวลชนจังหวัดเชียงใหม่
ในรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) โดยให้ดำเนินการก่อสร้าง ครั้งละ 1 เส้นทาง
เริ่มจากสายสีแดง (โรงพยาบาลนครพิงค์ – แยกแม่เหียะสมานสามัคคี) เป็นลำดับแรก คาดว่า
จะโครงการจะแล้วเสร็จเสร็จสมบูรณ์ในปี 2570 ซึ่งหากมีการตอบรับดีก็จะพิจารณาดำเนินการในสายสีน้ำเงินและสายสีเขียวต่อไป
ผู้ว่าการ รฟม.ย้ำว่า
เมื่อโครงการแล้วเสร็จสมบูรณ์จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการเดินทางที่มีประสิทธิภาพและมาตรฐาน
รวมถึงมีความสะดวก รวดเร็ว และความปลอดภัย
ให้แก่ของประชาชนและนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงสามารถลดการใช้รถยนต์โดยรวมบนท้องถนน
จึงช่วยลดปริมาณมลพิษในอากาศที่เกิดจากการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์ได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามเบื้องต้นมูลค่าโครงการจะอยู่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
ส่วนมากเป็นด้านการก่อสร้างหรือค่าก่อสร้างงานโยธา กว่า 19.8 พันล้านบาท
และค่างานระบบและตัวรถไฟฟ้า กว่า 5.7 พันล้านบาท ที่เหลือเป็น
ค่าจ้างที่ปรึกษาโครงการ Provisional
Sum ซึ่งยังไม่รวมค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินเรื่องเวนคืนอีกส่วนหนึ่ง
ด้านนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายก อบจ.เชียงใหม่กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีกับเชียงใหม่และภาคเหนือ เพราะเคยศึกษาการทำระบบขนส่งมวลชนมานานมากพอแล้ว อีกทั้งมีการทดลองระบบต่างๆ แต่ยังไม่ชัดเจน ครั้งนี้รัฐบาลเดินหน้าและให้ รฟม.ทำแผนหลังจาก สนข.ได้ศึกษาและดำเนินการมาต่อเนื่องจนวันนี้เริ่มชัดขึ้น เพราะหากไม่ทำเราก็ไม่เริ่มต้นที่จะมี ซึ่งในแนวทางการดำเนินการที่จะเป็นการลงทุนแบบ PPP ทาง อบจ.ก็เล็งเห็นถึงโอกาสของพื้นที่ จะได้ประสานกับผู้สนใจ ท้องถิ่น เอกชนและผู้เชี่ยวชาญด้านรถไฟฟ้ามาระดมทุนเพื่อเตรียมเสนอเข้าร่วมโครงการ ซึ่งคาดว่าน่าจะได้เงินทุนของกลุ่มในพื้นที่ราวกว่า 6 พันล้านบาท ซึ่งเมื่อเกิดสายแรกแล้วเชื่อว่าทุกอย่างก็จะตามมาเช่นเดียวกับที่กรุงเทพฯ ตอนนี้ทราบว่าที่ภูเก็ตก็เดินหน้าไปพร้อมกันแม้จะไปก่อนเชียงใหม่ไปบ้างแล้ว สำคัญชาวเชียงใหม่และพื้นที่เราก็ต้องตื่นตัวเพื่อมองโอกาสนี้ที่ไม่ใช่แค่ระบบขนส่งมวลชน เพราะจะเกิดโอกาสการลงทุน การท่องเที่ยวและด้านอื่นๆ ตามมาแน่นอน.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น