กสศ.ปลุกพลังท้องถิ่นไทยสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา สู้วิกฤตสถานการณ์โควิด-19
กสศ.ปลุกพลังท้องถิ่นไทยสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา สู้วิกฤตสถานการณ์โควิด-19
เชียงใหม่
15 มิ.ย.- เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ที่ผ่านมา กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
(กสศ.) ร่วมกับสถาบันพระปกเกล้า จัดเวที “นวัตกรรมท้องถิ่นร่วมสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา”
ที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส โดยมี ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล
ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง“ท้องถิ่นเป็นรากฐานของการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา”
ความตอนหนึ่งระบุถึงข้อมูลจากสถาบันสถิติแห่งองค์การยูเนสโก (UIS)
ว่ายังมีเด็กเยาวชนมากกว่า 263
ล้านคนทั่วโลก ที่ยังคงอยู่นอกระบบการศึกษา โดยในจำนวนนี้เป็นเด็กวัยประถมศึกษามากกว่า
60 ล้านคน ขณะเดียวกันใน 10
ปีที่ผ่านมา (2007-2017) การลดลงของจำนวนเด็กนอกระบบการศึกษาทั่วโลกเริ่มมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
โดยมีจำนวนลดลงไม่ถึง 100,000 คน
ดร.ประสาร
กล่าวว่า โจทย์สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของโลกที่มีความยากมากขึ้น
ในขณะที่งบประมาณของภาครัฐและเงินบริจาคกลับมีแนวโน้มลดลง
ผู้ที่เกี่ยวข้องจากภาคส่วนต่างๆ จึงต้องพยายามค้นหา นวัตกรรม
หรือมาตรการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่ลงทุนน้อย แต่ได้ผลมาก
ซึ่งทิศทางการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาด้วยการใช้ท้องถิ่นเป็นฐานในการทำงาน
น่าจะเป็นทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องในการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ
โดยงานวิจัยรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์เมื่อปี 2562
ที่ผ่านมายืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี Prof.Banerjee,
Prof.Duflo และ Prof.Kremer นักเศรษฐศาสตร์เจ้าของรางวัลโนเบลทั้ง
3 ท่านเชื่อว่า คำตอบของปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำอยู่ในพื้นที่
ด้วยกระบวนการวิจัยเชิงทดลองที่เหมาะสม
ด้วยการทำงานร่วมกับภาคีในพื้นที่อย่างจริงจังและต่อเนื่อง
คือหนทางสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรมการแก้ไขปัญหาความยากจน
และความเหลื่อมล้ำที่สามารถใช้ได้ผลจริงทั้งในพื้นที่ทดลอง
และสามารถขยายผลสู่การดำเนินการระดับชาติได้อย่างยั่งยืน
ดร.ประสาร
กล่าวว่า เมื่อใช้ชุมชนท้องถิ่นเป็นฐานในการทำงาน
จะช่วยย่อโจทย์การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาจากระดับประเทศสู่ระดับท้องถิ่น
จะลดความซับซ้อนและขนาดของปัญหาลงมาราว 100 เท่า จะเกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมการแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับบริบทการทำงานเชิงพื้นที่
เช่น การอาศัยพลังของคนในพื้นที่ในการส่งเสริมเครือข่ายอาสามัครด้านการศึกษา หรือ
อสม.การศึกษา
เพื่อร่วมเฝ้าระวังช่วยเหลือครอบครัวเด็กยากจนด้อยโอกาสและเด็กที่มีความจำเป็นพิเศษ
โดยอาศัยบทเรียนความสำเร็จในการทำงานของ อสม.ที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก
ขณะที่
นายสุภกร บัวสาย ผู้จัดการ กสศ. กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด-19
กสศ.ได้ลงพื้นที่สำรวจผลกระทบทางด้านการศึกษากับเยาวชน พบว่า ตลอด 2
เดือนที่ผ่านมาท้องถิ่นให้ความสำคัญกับการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคมาก่อนประเด็นความเสี่ยงของเด็กที่จะหลุดออกนอกระบบการศึกษาถึงร้อยละ
70
ซึ่งผลสำรวจตรงนี้เหมือนเป็นการเตือนที่สำคัญว่าหากอีก 1
เดือนข้างหน้า ท้องถิ่นไม่สามารถเข้าถึงปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้จะส่งผลให้เด็กกลุ่มเสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษาได้
อย่างไรก็ตามในช่วง
2 ปีที่ผ่านมา กสศ.
ได้ร่วมกับท้องถิ่นนำร่องลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาใน 20
จังหวัดทั่วประเทศ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต ราชบุรี เป็นต้น
ผ่านโครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
ที่มุ่งให้เกิดความร่วมมือในระดับพื้นที่เพื่อให้การดูแลกลุ่มปฐมวัยและกลุ่มนอกระบบการศึกษาก่อนจะขยายสู่กลุ่มเป้าหมายอื่นในอนาคต
โดยผลลัพธ์ที่ได้จาการดำเนินงานที่ผ่านมา คือ 1.เตรียมดึงเด็กจำนวน
10,000 คน กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา จากเด็กจำนวนที่หลุดออกนอกระบบการศึกษาไปแล้ว
50,000 คน 2.กลุ่มเด็กปฐมวัย
มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่มีมาตรฐานมากขึ้น
“กสศ.
เห็นโอกาสภายใต้ความท้าทายในการพัฒนาเมืองหรือท้องถิ่นต่างๆ
ในประเทศไทยให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้
โดยสนับสนุนทั้งในมิติของโอกาสและความเท่าเทียม ควบคู่มิติของคุณภาพและการใช้ประโยชน์ได้ของการเรียนรู้
ภายใต้การมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่และมีเครือข่ายเพื่อร่วมกันแสวงหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด
ทำให้สามารถพัฒนาคุณภาพเมืองแห่งการเรียนรู้ได้ตรงกับความต้องการของบริบทพื้นที่”
นายสุภกร กล่าวและว่าถึงการทำงานต่อเนื่องภายใต้สถานการณ์โควิด-19ด้วยว่า
กสศ.เตรียม ดึงภาคประชาชนมีส่วนร่วมในอนาคตอันใกล้
โดยพร้อมสนับสนุนการจัดตั้งเครือข่ายเครือข่ายอาสาสมัครด้านการศึกษา
(อสม.การศึกษา) ในการเฝ้าระวังช่วยเหลือครอบครัวเด็กที่ยากจนด้อยโอกาสและเด็กที่มีความจำเป็นพิเศษ
โดยใช้นวัตกรรมระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือ iSEE ในรูปแบบ
Mobile Application ในการสนับสนุน อสม. การศึกษา รวมถึงท้องถิ่น
ทำการค้นหาเป้าหมาย และระบุตัวตนกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการการดูแลช่วยเหลือ
และคุ้มครองสวัสดิภาพเป็นพิเศษ ภายใต้สถานการณ์ COVID-19
เช่น การติดตามเด็กนักเรียนในกลุ่มเสี่ยง และการทำงานร่วมกับองค์กรทั้งภาครัฐ
และประชาสังคมในพื้นที่เครือข่าย
ส่งเสริมชุมชนและครอบครัวให้มีขีดความสามารถในการสนับสนุนโรงเรียนในการเฝ้าระวังช่วยเหลือครอบครัวเด็กที่ยากจนด้อยโอกาสและเด็กที่มีความจำเป็นพิเศษมิให้เด็กหลุดจากการศึกษา
โดยใช้ระบบเทคโนโลยีในการเฝ้าระวัง การติดตามที่เหมาะสม
“อสม.การศึกษาจะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนให้กับท้องถิ่น
คาดว่าจะใช้ อสม. ที่มีอยู่เดิมในพื้นที่และท้องถิ่นจะช่วยเสริมพัฒนาศักยภาพของ
อสม. ที่มีอยู่เดิม หรือมี อสม.การศึกษาที่มาจากข้าราชการที่เกษียณแล้ว
เนื่องจากบุคคลกลุ่มนี้มีความรู้ ความสามารถทางด้านจัดการศึกษา” นายสุภกร
กล่าว
ขณะที่
ศาสตราจารย์วุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า
ความเหลื่อมล้ำเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกอยู่ในทุกมิติของสังคมไทย ทั้งด้านเศรษฐกิจ
สังคม และการเมือง ทุกปัญหามีความซับซ้อน และสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกพื้นที่
ทุกชุมชน ซึ่งสถานการณ์โรคระบาดโควิด- 19
ช่วยขยายภาพปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยให้ชัดขึ้น
เห็นได้จากความเดือดร้อนและทุกข์ยากของคนจากสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างรุนแรง
สวนทางกับภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่สูงขึ้น
หรือการที่ภาคบริการและแรงงานได้รับผลกระทบรุนแรงและฉับพลัน
แต่ภาคการเกษตรยังอยู่รอดและต้องรับภาระการอพยพคน
ส่วนประชาชนจำเป็นต้องปรับวิถีการใช้ชีวิตให้สอดรับกับสถานการณ์ จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นชี้ให้เห็นว่าความเหลื่อมล้ำ
เป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็วในระดับต้นๆ ของประเทศ
การแก้ไขปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่การทำให้ทุกคนเท่ากัน
แต่เป็นการลดความแตกต่างโดยการทำให้ทุกคนได้รับและเข้าถึงสุขภาวะขันพื้นฐานที่ได้มาตรฐานอย่าง
เท่าเทียม นอกจากด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
ด้านการศึกษาก็มีปัญหาความเหลื่อมล้ำ ต้องขอบคุณกสศ.
ที่เข้ามาเป็นศูนย์กลางขับเคลื่อนและรวมพลังท้องถิ่น
เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในพื้นที่
ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญในการจัดการศึกษา
เพราะมีต้นทุนทางสังคมที่ดี มีความยืดหยุ่นและเอกภาพในการบริหารการศึกษา
อีกทั้งการศึกษาของท้องถิ่นสามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำในท้องถิ่นและสังคมได้
ดังนั้นท้องถิ่นจึงนับเป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาที่สำคัญอย่างยิ่ง
ด้านนายสุพจน์
จิตร์เพ็ชร์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมและพัฒนาการจัดการศึกษาท้องถิ่น
กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวว่า หน้าที่
อปท.นอกเหนือจากงานด้านปกครองแล้ว ยังมีหน้าที่ส่งเสริมด้านการศึกษา
ทั้งนี้บทบาทของ อปท.ในการลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษานั้น เราต้องดูความพร้อมของแต่ละพื้นที่ด้วย
เพราะศักยภาพในด้านต่างๆไม่เท่ากัน
จึงต้องให้แต่ละพื้นที่เป็นผู้จัดการเรื่องการศึกษาให้เหมาะสมกับศักยภาพ ส่วนการมี
อสม.การศึกษาเป็นเรื่องที่ดีที่ตนคิดว่าจะช่วยป้องกันเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาได้
แต่อย่างไรก็ตามทางพื้นที่จะต้องมีการเตรียมความพร้อมในการเสริมศักยภาพของ
อสม.การศึกษา ซึ่งอาจจะเป็น อสม.ที่มีอยู่แล้วหรือเครือข่ายคณะกรรมการหมู่บ้าน
เป็นต้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น