อะไรกัน ยุคกิจิทัลแล้ว เด็กไทยกว่า 5 แสนหายจากระบบงบการศึกษากระจายไม่ทั่วถึง

เกิดอะไรขึ้นเมื่อเด็ก 5 แสนคน หล่นหายจากระบบ งบการศึกษากระจายไม่ทั่วถึง จากข้อมูลเวลานี้พบว่าในปี 2564 ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ ‘สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์’ (Complete Aged Society) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังจะเคลื่อนเข้าสู่ภาวะ ‘สังคมสูงวัยระดับสุดยอด’ (Super Aged Society) ภายในปี 2578 แม้คำนิยามที่ว่านี้จะฟังดูน่าเป็นห่วง แต่คนส่วนใหญ่กลับยังไม่รู้สึกถึงความวิตกกังวล เพราะเข้าใจว่าเป็นเรื่องไกลตัว สิ่งที่พอจะช่วยสะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรได้ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งคือ ตัวเลขอัตราการนักเรียนในระบบทั้งหมด จากปี พ.ศ. 2551 จำนวน 14.3 ล้านคน ลดลงเหลือเพียง 12.7 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2562 หรือพูดง่ายๆ อย่างภาษาชาวบ้านว่า ในระยะเวลาเพียง 11 ปีที่ผ่านมา เรามีเด็กหายไปจากระบบการศึกษาถึงประมาณ 2.6 ล้านคนเป็นอย่างต่ำ ยังไม่นับรวมเด็กที่ตกสำรวจ ไปจนถึงลูกหลานแรงงานข้ามชาติที่ไม่ได้รับการศึกษาที่เหมาะสมอีกร่วมล้านชีวิต จำนวนเด็กที่มีโอกาสได้อยู่ในระบบการศึกษาที่มีแนวโน้มลดลงนี้ กับจำนวนเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษา ยังสวนทางกับตัวเลขรายจ่ายด้านการศึกษาที่สูงขึ้น ดังข้อค้นพบจากการศึกษาของ ‘โครงการวิจัยพัฒนาระบบบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาแห่งชาติ’ (2563) จัดทำโดย สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้สรุปตัวเลขในปี พ.ศ. 2551, 2556 และ 2561 ดังตารางต่อไปนี้
จากตารางข้างต้นยังมีการคำนวณออกมาว่า ในระยะเวลา 8 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553-2561 จำนวนนักเรียนทั้งหมดของประเทศไทยลดลงถึงร้อยละ 2.25 ซึ่งความไม่สมเหตุสมผลของงบประมาณรายจ่ายต่อหัวที่เพิ่มขึ้นทุกปี กับการลดลงของจำนวนผู้เรียนในระบบนั้น ทำให้เกิดคำถามที่น่าสนใจจากข้อค้นพบในงานวิจัยชิ้นนี้ว่า จำนวนเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานในแต่ละปีนั้นได้รับงบประมาณหรือการดูแลจากภาครัฐที่เหมาะสมหรือไม่ รวมถึงเพราะเหตุใดจึงทำให้เด็กในระบบมีโอกาสที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษาเพิ่มขึ้นในทุกปีได้เสมอ เป็นเพราะความผิดพลาดด้านการจัดการศึกษาจากส่วนกลาง ปัจจัยบริบทของสถานศึกษา หรือเป็นเพราะปัจจัยความแตกต่างในเชิงปัจเจกบุคคลกันแน่? กราฟสัดส่วนนักเรียนในระบบกับรายจ่ายด้านการศึกษาต่อหัว
ปัญหาจำนวนนักเรียนในระบบการศึกษาที่ลดลงนั้น นอกจากจะมีสาเหตุจากอัตราการเกิดที่ลดลงแล้ว ทางคณะผู้วิจัยยังได้ศึกษาพบว่า เหตุผลแรกเป็นเพราะในแต่ละปีมีเด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานกลางคัน โดยอัตราการหลุดออกจากระบบสูงสุดคือ ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น รองลงมาคือชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และน้อยที่สุดคือชั้นประถมศึกษา และเหตุผลที่สองคือ เด็กประสบปัญหาในการเข้าสู่ระบบการศึกษาภาคบังคับตั้งแต่ต้น ผลการวิจัยยังระบุว่า มีเด็กในวัย 3-17 ปี อยู่นอกระบบการศึกษาในปี พ.ศ. 2562 ถึงประมาณ 5 แสนคน โดยจำนวนสูงสุดอยู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก และระนอง ตามลำดับ โดยใช้เกณฑ์การวัดจากอัตราสัดส่วนเด็กนอกระบบเป็นจำนวนร้อยละ เทียบกับจำนวนประชากรวัยเรียนของจังหวัดนั้นๆ
จำนวนเด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษาในแต่ละจังหวัด สามารถบ่งบอกได้ถึงความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในแต่ละพื้นที่ได้อย่างชัดเจน และยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างมีนัยยะสำคัญ โดยผลการศึกษายังค้นพบอีกว่า โอกาสในการเข้าถึงการศึกษา รวมไปถึงโอกาสในการได้เข้าเรียนในระบบการศึกษาภาคบังคับ แปรผันโดยตรงกับฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวเด็กอีกด้วย โดยข้อมูลที่ผู้วิจัยได้ประมวลผลมาจากจำนวนการเข้าเรียนในระบบการศึกษาปี พ.ศ. 2562 ระดับชั้นประถมศึกษามีเพียงร้อยละ 88.8 ของประเทศ ขณะที่ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นมีอัตราเพียงร้อยละ 70.4 ของประเทศเมื่อเทียบกับจำนวนเด็กที่ควรได้รับการศึกษาในระดับดังกล่าวทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งยังส่งผลไปถึงอัตราโอกาสที่จะได้รับการศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมปลายและในระดับอุดมศึกษาต่อไปอีกด้วย เท่ากับว่ายิ่งรวยก็จะยิ่งมีโอกาสที่มากกว่า ขณะที่หากมีฐานะยากจน โอกาสที่จะได้เข้าเรียนหรือเรียนให้จบหลักสูตรก็ยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ หนึ่งในตัวอย่างที่ใกล้เคียงกันจนสามารถนำมาถอดเป็นบทเรียนได้ คือการปฏิรูปการศึกษาของประเทศฟินแลนด์ที่เปลี่ยนจากประเทศที่มีปัญหาด้านความเท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาสด้านการศึกษา ไปสู่หนึ่งในประเทศที่เป็นต้นแบบด้านการพัฒนาการศึกษามากที่สุดในโลก จากหนังสือ Finnish Lessons: What Can the World Learn from Educational Change in Finland (2012) โดย ปาสิ ซอห์ลเบิร์ก (Pasi Sahlberg) ระบุว่าเมื่อต้นปี ค.ศ. 1950 โอกาสในการเข้าถึงการศึกษาในประเทศฟินแลนด์ประสบปัญหาเป็นอย่างมาก เนื่องจากเด็กที่อยู่อาศัยภายในเมืองเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้เข้าเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น รวมไปถึงเยาวชนส่วนใหญ่มักออกจากการศึกษาขั้นพื้นฐานหลังจากเรียนไปได้สักประมาณ 6-7 ปีเท่านั้น จนกระทั่งฟินแลนด์เริ่มมีการปฏิรูประบบการศึกษาโดยการผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติ ด้วยแนวคิดว่าเด็กทุกคนควรได้รับโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาที่เท่าเทียมกัน ส่งผลให้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีทางเลือกในการเรียนที่หลากหลาย อาทิ เมื่อเด็กเรียนจบชั้นประถมศึกษาแล้วจะสามารถเลือกสาขาวิชาเองได้ในระดับชั้นมัธยมต้น รวมไปถึงมีทางเลือกในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายอีกด้วย การปฏิรูปดังกล่าวส่งผลให้จำนวนผู้เรียนในระบบของฟินแลนด์มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก และอัตราการหลุดออกจากระบบของนักเรียนในการศึกษาขั้นพื้นฐานก็ลดลง และค่อยๆ ทะยานขึ้นสู่ระดับโลกดังที่เห็นในปัจจุบัน
จากทั้งหมดที่กล่าวมา เราสามารถมองภาพรวมของปัญหาด้านการจัดการทรัพยากรด้านการศึกษาที่ผิดพลาดของภาครัฐไทย จนทำให้มีเด็กวัยเรียนหลุดออกจากระบบการศึกษาภาคบังคับมากขึ้นในทุกๆ ปี สมมุติฐานแรกของที่มาของปัญหาดังกล่าวคือ การที่ภาครัฐยังคงเน้นการกระจายทรัพยากรให้ทุกจังหวัดได้เท่ากันหมด เปรียบเหมือนนโยบายตัดเสื้อโหลให้ประชาชนทั้งประเทศสวมใส่ไซส์เดียวกันหมด แต่กลับมองข้ามปัจจัยบริบทของความเหลื่อมล้ำในแต่ละพื้นที่ จนทำให้การใช้ทรัพยากรและงบประมาณหมดไปกับสิ่งเดิมๆ ทุกๆ ปี โดยไม่นำไปสู่การแก้ปัญหา แต่กลายเป็นว่ายิ่งตอกย้ำความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของแต่ละพื้นที่ให้ถ่างกว้างมากกว่าเดิม ซึ่งสามารถมองให้ลึกลงไปได้อีกว่า ภาครัฐไม่สามารถทำให้คนทุกคนสามารถมีจุดเริ่มต้นที่เท่ากันได้ตั้งแต่แรก การกระจายรายจ่ายให้เท่ากันภายหลังจึงเหมือนกับการซื้อรองเท้ากีฬาให้นักวิ่งที่ได้รับการฝึกซ้อมมาอย่างดี ขณะที่อีกคนหนึ่งถึงแม้จะได้รองเท้ากีฬาเหมือนกัน แต่กลับไม่เคยแม้แต่จะมีโอกาสได้ลงสนามเลย การคาดหวังให้ทุกคนเข้าสู่เส้นชัยเหมือนกันหมดคงเป็นไปไม่ได้ และคนที่ล้มกลางทาง วิ่งต่อไปไม่ไหว ก็อาจไม่ใช่ความผิดของเขาเอง แต่อาจเป็นเพราะการออกแบบกติกาการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกันตั้งแต่ต้น คณะผู้วิจัยได้เสนอทางออกของปัญหาเอาไว้ว่า ภาครัฐควรเปลี่ยนแปลงระบบการอุดหนุนเงินแบบรายหัวในแต่ละโรงเรียน จากเดิมใช้มาตรฐานอัตราเดียวกันทั่วประเทศ มาเป็นการให้งบประมาณอุดหนุนเพิ่มเติมแก่โรงเรียนตามความจำเป็นที่ควรได้รับ หากโรงเรียน ใดมีนักเรียนกลุ่มเปราะบางหรือกลุ่มเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบจำนวนมากก็ควรได้งบประมาณอุดหนุนเพิ่มมากขึ้น เพื่อนำไปจัดรูปแบบการศึกษาให้เป็นไปอย่างเหมาะสม และลดงบประมาณอุดหนุนให้แก่โรงเรียนขนาดใหญ่ที่ได้มากเกินกว่าความจำเป็น เพราะคำว่า ‘เท่าเทียม’ ไม่ใช่ ‘เท่ากัน’ แต่อาจหมายถึงความเสมอภาคที่ทุกคนควรมีโอกาสที่จะได้เริ่มต้นเหมือนกัน.
อ้างอิง 1. รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการวิจัยพัฒนาระบบบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาแห่งชาติ โครงการวิจัยพัฒนาระบบบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาแห่งชาติ (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551-2562) โดย สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการสนับสนุนของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ปี 2563 2. Pasi Sahlberg. (2012). Finnish Lessons: What Can the World Learn from Educational Change in Finland? จาก https://books.google.co.th/books?hl=th&lr=&id=oB5hAgAAQBAJ&oi=fnd&pg=PR11&dq=finnish+education+spending+solutions&ots=rFGu6KqMQ6&sig=rBx2C7BtFi9fERV-ZO_UhL4Uitc&redir_esc=y#v=onepage&q&f=false 3. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา. (2563). จนแค่ไหน...จนจะไม่ได้เรียน Dashboard ข้อมูลนักเรียนยากจนพิเศษ. จาก https://dashboard.eef.or.th/cct/ XMA Header Image Finnish Lessons books.google.co.th

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บสย. เผยผลค้ำประกันสินเชื่อปี 61 ยอดค้ำทะลุ 8.8 หมื่นล้านบาท แผนปี 62 ปั้น "New Business Model 2019" ตอบโจทย์ โลกเปลี่ยน ตั้งเป้าค้ำ 1.07 แสนล้านบาท

ม.เกษตรฯโดยวิทยุ ม.ก.คว้ารางวัลองค์กรดีเด่นวงการสื่อของ สวทท.เตรียมเข้ารับพระราชทาน"รางวัลเทพทอง"ของปีนี้

จัดยิ่งใหญ่ครบรอบก่อตั้ง 60 ปีสถานีวิทยุ ม.ก.เชียงใหม่ ปลุกพลังวิถีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงรับมือโลกแปรปรวน