สนามบินเชียงใหม่เล็งพัฒนาเชื่อมโยงท่องเที่ยวพื้นที่หลังทำแผนขยายรองรับปริมาณใช้บริการเพิ่มสูงระหว่างรอสนามบินที่ 2
ท่าอากาศยานเชียงใหม่เล็งเชื่อมโยงท่องเที่ยวชุมชนที่มีจุดแข็งเพิ่ม หลังเดินหน้าแผนพัฒนาศักยภาพรองรับการขยายตัวใช้บริการพุ่งสูง ตลาดยังเปิดกว้างแต่ต้องดึงศักยภาพและร่วมมือกันจริงๆ
เชียงใหม่ 19 ส.ค.- นาวาอากาศโท รณกร เฉลิมแสนยากร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ เผยว่า หลังจากนำคณะศึกษาดูงานท่าอากาศยานอินชอนและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเกาหลีใต้สัปดาห์ที่ผ่านมา(12-16 ส.ค.) เป็นกฎหมายสำคัญในการที่จะศึกษาแนวทางการพัฒนาเชื่อมโยงการท่องเที่ยวไปพร้อมๆกับแผนพัฒนาศักยภาพการรองรับการบริการที่ขยายตัวของท่าอากาศยานเชียงใหม่ที่ดำเนินการอยู่เวลานี้เพื่อให้เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวที่เป็นคุณภาพมาปรับใช้ในพื้นที่เชียงใหม่และใกล้เคียงเนื่องจากประเทศเกาหลีใต้เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น หลังวิกฤตสถานการณ์โควิดปัจจุบันเริ่มมีจำนวนเที่ยวบิน เส้นทางบินและผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 15-20% จึงต้องเร่งแผนพัฒนาท่าอากาศยานทีละ 5 ปี เพื่อรองรับการบริการให้ครอบคลุมทุก Supply Chain ไปพร้อมๆกัน ซึ่งแผนพัฒนาสนามบินเชียงใหม่เป็นการปรับปรุงและขยายสนามบินเดิมระหว่างที่เรารอท่าอากาศยานแห่งที่ 2 ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นได้เมื่อใดท่ามกลางภาวะผันผวนทางเศรษฐกิจของโลก สนามบินเดิมยังสามารถขยายได้มีการดำเนินโครงการพัฒนาใน 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 สร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ เป็นอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศโดยเฉพาะ ซึ่งขนาดของอาคารจะใหญ่เพิ่มเป็น 2 เท่า เมื่อเทียบกับอาคารหลังเดิม หลุมจอดจากเดิมมี 24 หลุม จะเพิ่มเป็น 31 หลุมจอด สามารถรองรับเที่ยวบินได้ 31 เที่ยวบินต่อชั่วโมง จากปัจจุบันรับได้ 24 เที่ยวบินต่อชั่วโมง แต่เพื่อไม่ให้เป็นผลกระทบกับชุมชนก็จะไม่ให้เกิน 02:00 น. ก่อนจะมีไฟท์ต่อไปราว 06:00 น. ได้มีการพูดคุยกับชุมชนรอบข้างและผู้มีส่วนได้เสียเป็นไปในทิศทางที่ดีรวมถึงการศึกษาผลกระทบต่างๆ ตามแผนที่กำหนดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จะเริ่มทำได้ในปี 2569 นี้ มีกำหนดเสร็จภายใน 5 ปี เพื่อรองรับผู้โดยสารได้ราว 16.5 ล้านคนต่อปี ซึ่งปัจจุบันนนี้สนามบินเชียงใหม่มีศักยภาพรองรับผู้โดยสารได้ 8.5 ล้านคนต่อปี แต่ได้มีการบริหารจัดการสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 11.5 ล้านคนต่อปี สามารถรองรับได้ 24 เที่ยวบินต่อชั่วโมง เมื่อโครงการระยะที่ 1 เสร็จ จากนั้นอีก 2 ปีจะเริ่มทำการปรับปรุง (Renovate) อาคารหลังเก่าทั้งหมดที่ใช้อยู่ปัจจุบันโดยจะทำเป็นอาคารผู้โดยสารภายในประเทศทั้งหมด ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารขึ้นมาเป็น 20-25 ล้านคนต่อปี
แผนการพัฒนาที่จะเริ่มในปี 2569 จะรองรับการเติบโตของสนามบินเชียงใหม่แบบเขย่งก้าวกระโดดและเป็นการพัฒนาที่ครอบคลุมทุกมิติ โดยทั่วไปสนามบินมีขีดจำกัด 3 ส่วน คือ 1.รันเวย์ ตอนนี้มีความพร้อมรองรับโบอิ้ง 747 เป็นเครื่องบินขนาดใหญ่ รองรับเที่ยวบินระยะไกล (Long Haul) ใช้เวลาบินนาน 2.ลานจอดเครื่องบิน ซึ่งยังไม่พร้อมจึงต้องทำเป็นลานจอด 2 ชั้น จะมีการเชื่อมต่อกับอาคารผู้โดยสารโดยใช้สะพานเทียบเครื่องบินหรือทางเดินเชื่อม
โดยมีผู้โดยสารชาวเกาหลีใต้และจีน เป็นกลุ่มตลาดหลักที่สลับกันขึ้นอันดับ 1 และ 2 ซึ่งปัจจุบันจำนวนผู้โดยสารเกาหลีใต้ยังครองอันดับ 1 ส่วนอันดับ 2 คือ จีน ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นอันดับ 1 แต่ลดลงไปจากสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ส่วนอันดับ 3 คือ ไต้หวัน และอันดับ 4 คือ มาเลเซีย ที่เหลือก็จะเป็นกลุ่มยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่คละกันไป
ปัจจุบันก็ถือว่าเกินศักยภาพของสนามบินที่รับได้ 8.5 ล้านคนดังกล่าว แต่ได้บริหารจัดการด้วยการเกลี่ยเวลา เพื่อลดความคับคั่งและแออัด เช่น ไฟลต์ตีสอง-ตีสาม จากเชียงใหม่-ปักกิ่ง หรือเชียงใหม่-ไทเป ส่วนไฟลต์เช้า จากเชียงใหม่-ฮ่องกง เครื่องออก 6 โมงเช้า แต่ตีสามผู้โดยสารจะทยอยมารอขึ้นเครื่องแล้ว ดังนั้น สนามบินจะมีเวลาที่ไม่มีผู้โดยสารอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ของทุกวัน โดยช่วงเวลาที่ผู้โดยสารคับคั่งจะอยู่ในช่วง 1 ทุ่มถึง 4 ทุ่ม
ทั้งนี้ประเด็นที่น่าเป็นห่วงคือ ความคับคั่งของการจราจรที่เข้าสู่บริเวณสนามบินในระยะ 5-7 ปีข้างหน้า จากสนามบินจะเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่ หรือสถานที่ต่าง ๆ จะเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะอย่างไร เพราะปัจจุบันยังไม่มีโครงข่ายขนส่งสาธารณะที่เป็นระบบที่จะให้บริการผู้โดยสารจากสนามบินเชียงใหม่ไปยังที่ต่าง ๆ โดยถนนสายหลักที่เชื่อมกับสนามบินมี 2 เส้นทาง คือ ถนนมหิดลและถนนสายหางดง ซึ่งเป็นเส้นทางหลักผ่านหน้าสนามบิน ปัจจุบันมีรถผ่านวันละ 20,000-30,000 คัน กล่าวคือ ถ้าสนามบินมีผู้โดยสารเพิ่มเป็น 20 ล้านคน รถที่จะเข้าออกสนามบินจะเพิ่มเป็น 50,000-60,000 คันต่อวัน เพิ่มเป็น 2 เท่า สนามบินกลายเป็นคอขวดการจราจรจะแน่นมาก จึงอยากให้ทางจังหวัด ขนส่งจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาคุยกันเรื่องนี้เพืีอทำให้มีขนส่งสาธารณะที่เป็นระบบเพิ่มขึ้นและอาจจะต้องมีการทำทางยกระดับหรือทางลอดในอนาคต
สำหรับเส้นทางการบินต่างประเทศที่บินตรงเข้าสู่เชียงใหม่ ปัจจุบันมี 20 เส้นทาง ครอบคลุมในกลุ่มประเทศภูมิภาคอาเซียนและเอเชีย อย่างเส้นทางกัวลาลัมเปอร์เคยบิน 10 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ปรับเพิ่มเป็น 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ หรือสายการบินไทยไลอ้อนแอร์ ก็เพิ่มเส้นทางบินเชียงใหม่-เกาสง และเชียงใหม่-ไต้หวัน และไชน่าเซาเทิร์นแอร์ไลน์ เพิ่มเส้นทางบินเชียงใหม่-เสิ่นเจิ้น
ส่วนเดือนตุลาคม 2568 สายการบิน Etihad เตรียมเปิดเส้นทางบินตรงจากอาบูดาบี-เชียงใหม่ จะทำการบิน 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ภาพรวมทั้งหมดของ Route ต่างประเทศจะเพิ่มเป็น 22 Route
อย่างไรก็ตามล่าสุดทางท่าอากาศยานเชียงใหม่ได้พาคณะสื่อมวลชนจังหวัดเชียงใหม่ศึกษาดูงานเส้นทางการบิน ณ สาธารณรัฐเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 12-16 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา เพื่อดูต้นแบบที่เกาหลีใต้ โดยเฉพาะสนามบินอินชอนที่ถมทะเลทำได้มาตรฐานสูงอันดับต้นๆ ของโลก ปัจจุบันการเดินทางเชื่อมเส้นทางบินเมืองต่อเมืองไม่มีพรมแดนและเกาหลีใต้เป็นฮับทางการบินขนาดใหญ่ เป็นจุดเชื่อมเส้นทางบินจากหลายเมือง หลายประเทศ เชียงใหม่เป็นจุดหมายปลายทางหนึ่งของเกาหลีใต้และเกาหลีใต้ก็เป็นจุดหมายของเชียงใหม่ด้วยเป็นโอกาสที่จะสามารถส่งเสริมในด้านการท่องเที่ยวและธุรกิจการค้าระหว่างกันได้ดี ยางอย่างมีสิ่งที่ดีคล้ายเชียงใหม่ที่เขาทำได้ดีก็มาปรับบ้านเราให้สอดคล้องได้อย่างดีต่อไป โดยเฉพาะการบริหารจัดการของท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน ผู้โดยสารส่วนใหญ่ค่อนข้างมีวินัย เคารพในกฎกติกา ขณะที่ปริมาณผู้โดยสารที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น มีวิธีบริหารจัดการโดยใช้กำลังบุคลากรในการจัดการในช่วงเวลาที่มีการเดินทางคับคั่ง
ซึ่งเกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีศักยภาพมาก ลักษณะเมืองกับระยะ Route 5-7 ชั่วโมง จากเกาหลี-เชียงใหม่ การเดินทางกำลังสบายไม่ไกลเกินไปนัก การนั่งเครื่องไม่ลำบากและเป็นเที่ยวบินตรงด้วย ที่สำคัญคือ เกาหลีใต้ เป็นประเทศที่มีหลายฤดู ช่วงฤดูหนาวคนเกาหลีใต้จะหนีหนาวไปบ้านเรา เราก็หนีร้อนมาบ้านเขา อัตราการใช้เงินประจำวันต่อหัวใกล้กัน อาหารใกล้กัน นอกจากผู้โดยสารแล้ว ใต้ท้องเครื่องก็เป็นโลจิสติกส์ขนส่งสินค้าระหว่างประเทศได้ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มขึ้นมาก ปัจจุบันชาวเกาหลีใต้นิยมมาเที่ยวเชียงใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขึ้นแท่นอันดับ 1 มาทดแทนตลาดจีนที่ยังไม่กลับมาเป็นปกติ เพราะเสน่ห์ของเชียงใหม่ที่เป็นเมืองวัฒนธรรม-ประวัติศาสตร์ ผู้คนเฟรนด์ลี่ อาหารอุดมสมบูรณ์ เป็นเมืองปลอดภัย มีวัฒนธรรมเป็นจุดขายเหมือนกัน โดยเฉลี่ยนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้อยู่ในเชียงใหม่ราว 1 สัปดาห์ เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไป อีกกลุ่มหนึ่งคือ นักท่องเที่ยวที่มาตีกอล์ฟจะอยู่สนามกอล์ฟอย่างเดียว มีกำลังซื้อสูง ปัจจุบันผู้โดยสารชาวเกาหลีใต้เดินทางเข้าเชียงใหม่ช่วง 7 เดือนของปี 2568(มกราคม-กรกฎาคม) ประมาณ 160,000-170,000 คน ส่วนคนเชียงใหม่ไปเกาหลีใต้ยังค่อนข้างน้อยราว 30% เมื่อเทียบสัดส่วนของเกาหลีใต้ที่มาเชียงใหม่
นาวาอากาศโทรณกรย้ำว่า เมื่อแผนการพัฒนาสนามบินเชียงใหม่ทำครบทุกระยะเต็มระบบ จะเสริมศักยภาพให้เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางทางการบิน หรือ “ฮับการบิน” (Aviation Hub) ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางหลักในการเชื่อมต่อเที่ยวบินจำนวนมาก อย่างผู้โดยสารที่จะเดินทางไปยุโรป-สหรัฐอเมริกา จะนิยมไปเปลี่ยนเครื่องที่ไต้หวัน หรือที่อินชอนและโตเกียว และต่อไปยุโรป-สหรัฐอเมริกา
ซึ่ง Route การต่อเชื่อมของสายการบินจะทำให้เชียงใหม่ดูมีศักยภาพมากขึ้น ต่อไปหากจะไปยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา อาจไม่ต้องไปสุวรรณภูมิ หรือดอนเมือง ซึ่งแนวโน้มมีความเป็นไปได้สูงว่า ตลาดกลุ่มตะวันออกกลาง เอเชียใต้(อินเดีย) ยุโรปและสหรัฐอเมริกา จะเป็นตลาดที่สำคัญของเชียงใหม่ในอนาคต นอกจากนี้เชียงใหม่ต้องมาดูตัวเองว่านอกจากเป็นฮับทางการบินแล้วจะเป็นฮับด้านไหนอีกและมีอะไรที่แข็งแรงบ้าง ซึ่งจะทำให้เพิ่มมูลค่าท้องถิ่น เพราะในข้อเท็จจริงผู้โดยสารหรือนักท่องเที่ยวไม่ได้อยากมาเที่ยวสนามบิน แต่มาเพราะเราเป็นฮับทางการแพทย์ เพราะมีการแพทย์ดีโดยเฉพาะกลุ่มเกษียณหรือมาเพราะเราเป็นฮับด้านการศึกษา ต้องเอาศักยภาพของเชียงใหม่ขึ้นมาและมาร่วมมือกันจริงๆ ซึ่งท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ก็พร้อมเติบโตไปควบคู่กับอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยวโลกในอนาคต ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนสนามบินแห่งที่ 2 ก็เป็นอีกเฟสที่ต้องว่ากันไปในอนาคต.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น